ประวัติศาสตร์ของการบริโภคนม
ความสามารถในการบริโภคนมเป็นสิ่งสำคัญมากต่อการอยู่รอดของผู้คนในช่วง 8,000-10,000 ปีก่อนหน้านี้ แต่ก็ยังไม่ทราบสาเหตุของสิ่งที่เกิดขึ้นนี้
ผู้คนส่วนใหญ่ในแถบตอนเหนือและตอนกลางของทวีปยุโรปสามารถบริโภคนมได้ ชีส เนย รวมถึงผลิตภัณฑ์จากนมชนิดต่าง ๆ ล้วนเป็นที่นิยมในหลายประเทศ เช่น สวีเดน เดนมาร์ก เยอรมัน และอังกฤษ
ในทางกลับกัน ผู้คนจำนวนมากในทวีปแอฟริกา เอเชีย และอเมริกาใต้ มีแนวโน้มที่จะหลีกเลี่ยงจากอาหารที่มีนมเป็นส่วนประกอบ เพราะทำให้เกิดอาการท้องเสีย รวมถึงอาการผิดปกติอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกระเพาะอาหาร
จากการวิเคราะห์รูปแบบทางพันธุกรรมดังกล่าว พบว่า การดื่มนมอาจเริ่มต้นในแถบตอนเหนือของทวีปยุโรป ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีผลิตภัณฑ์จากนมอย่างยาวนาน และมีการกลายพันธุ์ของยีนที่ทำให้บริโภคนมได้อย่างแพร่หลายทุกพื้นที่
แต่จากการศึกษาด้วยการสร้างแบบจำลองด้วยคอมพิวเตอร์ เพื่อศึกษาการแพร่กระจายของการกลายพันธุ์ของยีนที่ทำให้บริโภคนมได้ การทำฟาร์ม และปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง พบว่าคนกลุ่มแรกที่บริโภคนมอาศัยอยู่ในแถบตอนกลางของทวีปยุโรป เมื่อประมาณ 7,500 ปีก่อน ซึ่งบริเวณนั้นเป็นที่ตั้งของประเทศฮังการีในปัจจุบัน ไม่ได้เริ่มจากทางตอนเหนืออย่างที่คาดการณ์ไว้
โดยในช่วงเวลาขณะนั้น วัฒนธรรมการรวมกลุ่มเป็นชุมชนและทำฟาร์ม ที่เรียกว่า Linearbandkeramik เริ่มมีขึ้นเป็นครั้งแรกในแถบพื้นที่ตอนกลางของทวีปยุโรปด้วยเช่นกัน และได้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาหลังจากนั้นไม่กี่ร้อยปี จนครอบคลุมแถบตะวันตกเฉียงเหนือของยุโรปเกือบทั้งหมด
มาร์ก โธมัส ยังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า การดื่มนมอาจเป็นเหตุให้วัฒนธรรมแบบ Linearbandkeramik ประสบผลสำเร็จ และวัฒนธรรมนี้ก็ทำให้ทวีปยุโรปเกิดการเปลี่ยนแปลง การดื่มนมอาจเป็นตัวกำหนดรูปแบบภาษาและวัฒนธรรมในบริเวณตอนเหนือของยุโรปในช่วงหลายพันปีก่อนหน้านี้ และความสามารถในการบริโภคนมเป็นปัจจัยสำคัญต่อการขยายตัวของภาษาและวัฒนธรรมนี้ด้วย
นอกเหนือไปจากการสืบค้นหากลุ่มคนกลุ่มแรกที่บริโภคนมด้วยวิธีการศึกษาประวัติศาตร์การเปลี่ยนแปลงของยีนของมนุษย์แล้ว ยังได้มีการสืบหาด้วยการวิเคราะห์ภาชนะหุงต้มโบราณที่หลงเหลืออยู่ในหลายพื้นที่ทางโบราณคดีในทวีปยุโรปโดยริชาร์ด เอเวอร์เชด นักเคมีจากมหาวิทยาลัยบริสทอล แห่งสหราชอาณาจักร
ริชาร์ด เอเวอร์เชดและคณะของเขา ได้ชี้ให้เห็นถึงไขมันนมที่แห้งเหือดบนหม้อที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่เคยพบ มีอายุราว 9,000 ปี และค้นพบนอกทวีปยุโรป โดยถูกค้นพบในบริเวณที่ราบลุ่มอันอุดมสมบูรณ์ของแถบตะวันออกกลางที่เรียกว่า fertile crescent ซึ่งในปัจจุบันพื้นที่บริเวณนี้ครอบคลุมประเทศอิรัก ซีเรีย และอิสราเอล หลักฐานนี้แสดงให้เห็นว่าบริเวณนี้อาจเป็นสถานที่แรกที่ผู้คนมีการนำสัตว์มาเลี้ยงในบริเวณที่อยู่อาศัย
อันที่จริงแล้ว การบริโภคนมอาจเริ่มต้นขึ้นก่อนหน้านั้น แม้ว่านักโบราณคดีอาจไม่เคยค้นพบหม้อโบราณที่มีอายุมากกว่านั้น แต่นักวิทยาศาสตร์ก็มีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่ามีการเลี้ยงฝูงแกะที่เป็นตัวเมียเกือบทั้งหมด ซึ่งอาจหมายถึงว่า การเลี้ยงฝูงแกะนี้เพื่อต้องการนมของมันไม่ใช่เนื้อ เพราะสัตว์ตัวเมียเป็นผู้ผลิตนม
แม้จะมีร่องรอยเหล่านั้น แต่โธมัสซึ่งได้ทำการวิเคราะห์ยีนจากกระดูกของชาวยุโรปในยุคแรก ๆ ก็ไม่เคยได้พบสัญญาณใดที่ระบุว่ามนุษย์มีการกลายพันธุ์ของยีนที่ทำให้บริโภคนมได้ ในช่วงที่นานกว่าเมื่อ 7,500 ปีก่อน หลักฐานที่กล่าวมาอาจทำให้เกิดข้อสงสัยว่า ทำไมมนุษย์ต้องรีดนมสัตว์ทั้ง ๆ ที่พวกเขาไม่สามารถบริโภคนมได้
จากการศึกษาพบว่า กระบวนการหมัก และเปลี่ยนนมให้เป็นโยเกิร์ต ชีส และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ทำให้ปริมาณของแลคโตสลดลงไปมาก แม้แต่คนที่มีอาการแพ้นมก็สามารถบริโภคผลิตภัณฑ์จากนมเหล่านี้ได้โดยไม่มีอาการแพ้
ผลิตภัณฑ์จากนมเหล่านี้สามารถเก็บไว้ได้นานโดยไม่เน่าเสีย และกระบวนการในการผลิต เช่น การหมัก ก็ทำได้ไม่ยาก ในประเทศเขตร้อน แค่เพียงนำนมใส่หม้อแล้วนำออกไปตากแดดไว้ทั้งวัน ก็จะเปลี่ยนนมให้เป็นโยเกิร์ตที่มีคุณค่าอาหารและบริโภคได้ง่ายขึ้น
โธมัสได้กล่าวสรุปจากการวิเคราะห์ประเด็นนี้ว่า พวกเขาค่อนข้างมั่นใจว่าความสามารถในการบริโภคนมเกิดขึ้นภายหลังจากมีความชำนาญในการผลิตนมและผลิตภัณฑ์จากนมแล้ว
นักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันมีความรู้เกี่ยวกับช่วงเวลาและสถานที่ที่มีการผลิตนมเพิ่มมากขึ้นแล้ว แต่ก็ยังอธิบายไม่ได้ว่าทำไมมนุษย์จึงเริ่มดื่มนม ซึ่งก็ต้องใช้เวลาในการสืบหาปริศนาของการดื่มนมต่อไป
แปลและเรียบเรียงจาก science news for kids: got milk? How? โดย Emily Sohn
http://www.sciencenews.org/view/feature/id/55334
ที่มา : องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ
-
3325 ประวัติศาสตร์ของการบริโภคนม /index.php/article-science/item/3325-2013-01-30-06-07-57เพิ่มในรายการโปรด