กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
ระดับประถมศึกษา
57
๑๐. แนวทางการประเมินการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
ในการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาสมรรถนะด้านวิทยาศาสตร์ ตลอดจน
ด้านต่างๆ ของผู้เรียนนั้นจำ�เป็นต้องมีการประเมินการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง
ตั้งแต่เริ่มต้น ระหว่าง และสิ้นสุดกระบวนการเรียนรู้ โดยใช้การประเมินใน
รูปแบบที่หลากหลายสอดคล้องตามวัตถุประสงค์ของการเรียนรู้ รูปแบบการประเมิน
การเรียนรู้ ได้แก่ การประเมินการเรียนรู้ระหว่างเรียน (Formative Assessment)
การประเมินการเรียนรู้สรุปรวม (Summative Assessment) และการประเมิน
การเรียนรู้ตามสภาพจริง (Authentic Assessment) ในการประเมินเพื่อพัฒนา
การเรียนรู้ และการประเมินตามสภาพจริงนั้น ผู้สอนจำ�เป็นต้องสะท้อนการประเมิน
ให้ผู้เรียนรับทราบเพื่อปรับปรุงและพัฒนาตนเอง และผู้สอนต้องนำ�ผลการประเมิน
มาพิจารณาเพื่อทบทวนและปรับแผนการจัดการเรียนรู้เพื่อให้สามารถดำ�เนินการ
แก้ไข ช่วยเหลือ หรือหาวิธีการต่างๆ เพื่อช่วยให้ผู้เรียนแต่ละคนเกิดการเรียนรู้และ
พัฒนาตนเองได้ตามแต่ละจุดประสงค์การเรียนรู้หรือเป้าหมายของตัวชี้วัดต่าง ๆ
(กุศลิน, ๒๕๕๕ )
แนวคิดสำ�คัญของการปฏิรูปการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษา
แห่งชาติ พุทธศักราช ๒๕๔๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พุทธศักราช ๒๕๔๕
ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำ�คัญ คือการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียน
คิดและลงมือปฏิบัติด้วยกระบวนการที่หลากหลาย เพื่อเกิดการเรียนรู้และพัฒนา
ตนเองเต็มตามศักยภาพ การประเมินการเรียนรู้จึงมีความสำ�คัญและจำ�เป็นอย่างยิ่ง
ต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในห้องเรียน เพราะสามารถทำ�ให้ผู้สอนประเมินระดับ
พัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน
จุดประสงค์สำ�คัญของการประเมินการเรียนรู้ คือการช่วยให้ผู้เรียนเกิด
การเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ที่ผู้สอนหรือหลักสูตรวางไว้ อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่พบ
ในปัจจุบันก็คือ ผู้บริหาร ผู้สอน ตลอดจนผู้ปกครองเป็นจำ�นวนมากยังให้
ความสำ�คัญกับการประเมินผลสรุปรวม ที่เน้นการทำ�ข้อสอบ รวมถึงการให้
ความสำ�คัญกับผลลัพธ์ของการประเมินผลสรุปรวมที่ปรากฏในรูปของระดับ
ผลการเรียน (Grade) หรือลำ�ดับของผู้เรียนในชั้นเรียน (Rank) ซึ่งได้จากการ
เปรียบเทียบคะแนนระหว่างผู้เรียนมากกว่าการประเมินการเรียนรู้ระหว่างเรียนที่
เน้นการให้ข้อมูลย้อนกลับ (Feedback) แก่ผู้เรียนเพื่อให้ผู้เรียนได้พัฒนาการ
เรียนรู้ของตนเองของผู้เรียน แต่ละคน สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้จึงก่อให้เกิดวัฒนธรรมการ
เรียนรู้แบบท่องจำ�เพื่อสอบ หรือการเรียนรู้เพื่อแข่งขัน ซึ่งถือเป็นการเรียนรู้แบบ
ผิวเผินมากกว่าการเรียนรู้เพื่อพัฒนาตนเองซึ่งผลลัพธ์ของการเรียนรู้จะยั่งยืนกว่า
(กุศลิน, ๒๕๕๕; ขจรศักดิ์, เพ็ญจันทร์ และวรรณทิพา รอดแรงค้า, ๒๕๔๘)