ธรรมชาติของ "วาฬ"
โดย :
My Firsbrain
เมื่อ :
วันพุธ, 28 กันยายน 2554
Hits
57834
ถึงแม้ว่าช้างจะเป็นสัตว์บกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกก็ตาม แต่ช้างก็ยังมีขนาดตัวเล็กเมื่อเปรียบเทียบกับวาฬ เพราะสถิติวาฬ Balaenoptera ที่มีลำตัวยาวที่สุดในโลกนั้น ยาวถึง 34 เมตร และหนัก 190 ตัน ซึ่งคิดเทียบได้กับช้าง 10 ตัว แม้แต่ไดโนเสาร์เองซึ่งคนบางคนคิดว่า ใหญ่กว่าวาฬก็ยังหาได้ใหญ่เท่าไม่ ทั้งนี้เพราะความยาวของไดโนเสาร์ส่วนใหญ่อยู่ที่คอและหาง ส่วนที่เป็นลำตัวจริงๆ จึงยาวน้อยกว่าวาฬ
John Ray
มนุษย์รู้จักวาฬมานานแสนนานแล้ว Aristotle นักปราชญ์ชาติกรีกในสมัยพุทธกาลได้เคยหลงผิดคิดว่า วาฬเป็นปลา และความหลงผิดนี้ได้ติดตามมาจนกระทั่งปี พ.ศ.2236 John Ray นักชีววิทยาชาวอังกฤษก็ได้เป็นบุคคลแรกที่ตระหนักความจริงว่า วาฬไม่ใช่ปลาแต่เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เพราะมันออกลูกเป็นตัว และเลี้ยงลูกอ่อนของมันด้วยนม ตามปกติวาฬจะตั้งครรภ์นาน 1 ปี และเวลาคลอดลูกส่วนหางของลูกจะโผล่ออกมาก่อน
ลูกวาฬสีน้ำเงิน (blue whale) ที่คลอดใหม่ๆ มีลำตัวยาวประมาณ 6 เมตร และหนักประมาณ 2 ตัน และเนื่องจากนมวาฬมีโปรตีนและไขมันสูง ลูกวาฬจึงเจริญเติบโตเร็ว นักชีววิทยายังได้สังเกตเห็นอีกว่า หากเราเจาะครรภ์วาฬก่อนคลอดลูก จะพบว่า ลูกวาฬในท้องมีขนตามตัว แต่ขนเหล่านี้ได้หลุดจากร่างของตัวอ่อนไปก่อนที่มันจะถูกคลอดออกมา
เมื่อดูเผินๆ วาฬมีลำตัวที่ดูคล้ายตอร์ปิโด มันมีศีรษะใหญ่ ไม่มีคอ ตาของมันมีขนาดเล็ก รูจมูกของมันอยู่บนหลัง มันหายใจได้เช่นคนโดยผ่านรูจมูก 2 รู ตามธรรมดาวาฬชอบกินสัตว์น้ำ เช่น กุ้ง หมึก แมวน้ำ และปลาต่างๆ เป็นอาหาร เวลาว่ายน้ำมันใช้หางโบกขึ้นลงๆ ทำให้ว่ายน้ำได้เร็ว โดยเฉพาะ วาฬเพชฌฆาต (Orcinus orca) นั้นสามารถว่ายน้ำได้เร็วถึง 56 กิโลเมตร/ชั่วโมง ส่วนความสามารถด้านการดำน้ำลึกนั้น นักชีววิทยาได้สังเกตเห็นว่า วาฬสีน้ำเงิน (Physeter catadon) ดำน้ำได้ลึกถึง 3 กิโลเมตร การดำน้ำได้ลึกเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่า วาฬ สามารถกลั้นลมหายใจได้นานเป็นชั่วโมง และออกซิเจนไม่ได้อยู่ที่ปอดของมันเพียงแห่งเดียว แต่อยู่ในส่วนที่เป็นกล้ามเนื้อด้วย การมีออกซิเจนในตัวมากเช่นนี้ ทำให้เนื้อวาฬมีสีแดงเข้มจัดกว่าเนื้อสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดอื่นๆ
การสังเกตของ A.R. Martin แห่ง Sea Mammal Research Unit ของ Natural Environment Research Council ในประเทศอังกฤษ ได้รายงานว่า หลังจากได้ติดตั้งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับส่งสัญญาณบนหลังวาฬแล้วเขาใช้ ดาวเทียมรับ และวิเคราะห์สัญญาณจากวาฬ ผลการศึกษาข้อมูลทำให้เขารู้ว่า วาฬตัวผู้เวลาอพยพจากทะเล Beaufort ไปยังเกาะ Melville มันต้องว่ายน้ำผ่านทวีปที่มีน้ำแข็งปกคลุม เมื่อมันว่ายเหนือน้ำไม่ได้ มันก็ต้องดำน้ำไป โดยการลอดใต้ก้อนน้ำแข็งมากมาย และในการดำน้ำ มันจะดำในแนวเฉียงลึกลงไปเป็นกิโลเมตรแล้วจึงหวนกลับ ขึ้นผิวน้ำเพื่อหายใจอีก มันจะดำน้ำลักษณะตัว V เช่นนี้เพราะที่ระดับลึกมากๆ วาฬมีโอกาสเห็นช่องว่างระหว่างภูเขาน้ำแข็งในทะเลได้ง่าย ซึ่งบริเวณช่องว่างนี้จะเป็นบริเวณที่มันสามารถโผล่หัวขึ้นมาหายใจได้ หากมันต้องการ
นักชีววิทยายังได้สังเกตเห็นอีกว่า เวลาวาฬสนทนากัน มันจะส่งเสียงร้องลักษณะหนึ่งแต่เวลามันจะฆ่าเหยื่อมันจะร้องอื้ออึงอีกแบบ หนึ่งหรือเวลาที่มันว่ายน้ำเป็นกลุ่ม มันจะส่งเสียงร้องที่มีทำนองต่างออกไป เพื่อบอกเพื่อนร่วมทะเลให้รู้ทิศและตำแหน่งที่มันกำลังว่ายน้ำอยู่วาฬจะส่ง เสียงร้องเป็นจังหวะ เช่น วาฬสีน้ำเงินเวลาอพยพย้ายถิ่น จะส่งเสียงร้องนาน 20 วินาที สลับกับการว่ายน้ำเงียบ 20 วินาที
ปัจจุบันนักอนุรักษ์วาฬใช้ข้อมูลเสียงของวาฬในการบอกจำนวน ชนิดและกิจกรรมต่างๆ ที่วาฬกระทำ เพราะข้อมูลเสียงนี้ชัดเจน แม่นยำ และถูกต้องยิ่งกว่าการสังเกตดูวาฬด้วยตาจากระยะไกลๆ
ปัญหาหนึ่งที่นักชีววิทยาสนใจมาก คือบรรพบุรุษของวาฬคือสัตว์อะไร ในช่วงระยะเวลา 150 ปีที่ผ่านมานี้ นักชีววิทยาที่เชี่ยวชาญด้านสัตว์ดึกดำบรรพ์ได้ขุดพบหลักฐานมากมายที่แสดง ให้เห็นว่า ในอดีตเมื่อ 65-75 ล้านปีมาแล้ว บรรพบุรุษของวาฬได้เคยอาศัยอยู่บนบกและเคยเดินได้ หลักฐานหนึ่งที่พบในหุบเขา Zeuglodon ในประเทศอียิปต์ แสดงให้เห็นซากกะโหลกวาฬที่มีฟันเป็นซี่ๆ มีลำตัวยาว 12 เมตร และมีกระดูกขาหลังที่เล็กมากซึ่งอยู่ค่อนไปทางหางกระดูกขาที่เล็กมาของวาฬ Basilosaususisis ที่มีอายุประมาณ 40 ล้านปีนี้ แสดงให้เห็นว่า วาฬยุคนั้นยังเดินไม่ได้
แต่ในปี พ.ศ.2535 นั่นเอง H.Thewissen แห่งมหาวิทยาลัย Ohio ได้รายงานในวารสาร Science ว่าเขาได้ขุดพบกระดูกของวาฬ Ambulocetusnatans อายุ 52 ล้านปี ในบริเวณภูเขา Kala Chitta ทางตอนเหนือของประเทศปากีสถานโครงกระดูกที่ค่อนข้างสมบูรณ์นี้ประกอบด้วย กะโหลกที่มีฟัน ซี่โครงกระดูกขา 4 ขา หน้า หลัง และหาง Thewissen คาดคะเนว่า วาฬเจ้าของซากกระดูกนี้มีลำตัวยาว 3 เมตร และหนักประมาณ 300 กิโลกรัม กระดูกขาหน้าที่สั้นและอยู่ติดกับลำตัวนั้น แสดงให้เห็นว่า มันใช้ขาหน้าในการเคลื่อนที่บนบก โดยการขยับตัวยกอกแล้วลากท้องไปตามพื้นดินเหมือนสิงโตทะเลส่วนขาหลังนั้นหด เล็ก และยาวเพียง 4 นิ้วเท่านั้นเอง การมีโครงสร้างร่างกายเช่นนี้ ทำให้มันเป็นสัตว์บกที่งุ่มง่ามมาก การหาอาหารเลี้ยงปากท้องจึงเป็นไปอย่างยากลำบาก แต่เมื่อมันอยู่ในน้ำ มันได้พบว่า มันสามารถว่ายน้ำได้อย่างคล่องแคล่ว อาหารที่มันบริโภคจึงมักเป็นอาหารที่มันหาได้ในทะเล ดังนั้น ต้นตระกูลของวาฬจึงได้ตัดสินใจอพยพจากบกลงทะเลอย่างถาวร เมื่อ 50 ล้านปีมานี้เอง และดำรงชีวิตเป็นสัตว์น้ำอย่างไม่หวนกลับขึ้นบกอีกเลย ซึ่งพฤติกรรมนี้แตกต่างจากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่นๆ เช่น แมวน้ำ และตัววอลัส ที่เวลาจะคลอดลูกมันจะขึ้นจากทะเล
ประวัติศาสตร์ได้บันทึกว่า ในอดีตเมื่อ 1,000 ปีก่อนนี้ ชนเผ่า Basque ในยุโรปเป็นชนเผ่าแรกที่ดำรงชีวิตโดยการจับวาฬมาเป็นอาหาร ต่อมาในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 16 ชาวแคนาดา อังกฤษ และเนเธอร์แลนด์ ก็ได้เริ่มเข้ามาประกอบอาชีพเป็นนักล่าวาฬด้วย เรือ Mayflower ที่เคยใช้บรรทุกผู้โดยสารจากยุโรป สู่อเมริกาก็เคยเป็นเรือล่าวาฬ และกิจกรรมล่าวาฬได้มีการดำเนินการกันอย่างกว้างขวางและจริงจัง เพราะมนุษย์พบว่า แทบทุกส่วนของวาฬมีประโยชน์ เช่น ไขใช้ทำสบู่ น้ำมันหล่อลื่น เชื้อเพลิงจุดตะเกียง เนื้อใช้บริโภคและกระดูกวาฬใช้ทำเป็นปุ๋ย
ทุกวันนี้วาฬกำลังถูกไล่ล่าและฆ่ามากมาย วาฬบางตัวได้รับเสียงรบกวนจากเรือ จากเครื่องยนต์ในทะเลหรือจากการทดลองทางวิทยาศาสตร์ เมื่อมีการสำรวจพบในปี พ.ศ.2509 ว่า จำนวนประชากรวาฬกำลังร่อยหรอคือเหลือเพียง 12,000 ตัว เท่านั้นเองวาฬ ก็ได้รับการประกาศว่า วาฬเป็นสัตว์ที่โลกควรอนุรักษ์ตั้งแต่นั้นมา
ในวารสาร Proceedings of the National Academy of Sciences ฉบับเดือนมีนาคม พ.ศ.2541 H. Caswell แห่ง Woods Hole Oceanographic Institution ในสหรัฐอเมริกาได้รายงานการสำรวจวาฬ right whale ในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือว่า หากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงวาฬนี้จะสูญพันธุ์ในอีก 200 ปีข้างหน้า เขาได้ข้อมูลนี้จากการเริ่มถ่ายภาพวาฬพันธุ์ right whale ตั้งแต่ปี พ.ศ.2523 และได้คำนวณพบว่า อัตราการอยู่รอดของวาฬพันธุ์นี้ได้ลดน้อยลงในทุกปี โดยในปี พ.ศ.2523 นั้น เขาได้พบว่า จำนวนประชากรของวาฬได้เพิ่มขึ้น 5.3% แต่หลังจากนั้นจำนวนก็ได้ลดลง 2.4% ทุกปี และเขาได้พบสาเหตุสำคัญทำให้โลกต้องสูญเสียวาฬมากที่สุดว่า เกิดจากการที่วาฬถูกเรือชน และเมื่ออัตราการเกิดลด เพราะวาฬผสมพันธุ์กันในตระกูลเดียวกัน และมลภาวะของทะเลมีมากขึ้นทุกวัน จำนวนวาฬจึงได้ลดลงทุกปี
Caswell ได้เสนอแนะให้รัฐบาลสหรัฐฯ ออกกฎหมายแก้ไขสาเหตุเหล่านี้ ซึ่งรัฐบาลสหรัฐฯ ก็เห็นด้วย โดยได้ออกกฎหมายบังคับให้เรือทุกลำที่จะแล่นเข้าน่านน้ำ New England และ Florida ติดต่อยามฝั่งขอข้อมูลตำแหน่งวาฬครั้งล่าสุดอีกด้วย...
มนุษย์รู้จักวาฬมานานแสนนานแล้ว Aristotle นักปราชญ์ชาติกรีกในสมัยพุทธกาลได้เคยหลงผิดคิดว่า วาฬเป็นปลา และความหลงผิดนี้ได้ติดตามมาจนกระทั่งปี พ.ศ.2236 John Ray นักชีววิทยาชาวอังกฤษก็ได้เป็นบุคคลแรกที่ตระหนักความจริงว่า วาฬไม่ใช่ปลาแต่เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เพราะมันออกลูกเป็นตัว และเลี้ยงลูกอ่อนของมันด้วยนม ตามปกติวาฬจะตั้งครรภ์นาน 1 ปี และเวลาคลอดลูกส่วนหางของลูกจะโผล่ออกมาก่อน
ลูกวาฬสีน้ำเงิน (blue whale) ที่คลอดใหม่ๆ มีลำตัวยาวประมาณ 6 เมตร และหนักประมาณ 2 ตัน และเนื่องจากนมวาฬมีโปรตีนและไขมันสูง ลูกวาฬจึงเจริญเติบโตเร็ว นักชีววิทยายังได้สังเกตเห็นอีกว่า หากเราเจาะครรภ์วาฬก่อนคลอดลูก จะพบว่า ลูกวาฬในท้องมีขนตามตัว แต่ขนเหล่านี้ได้หลุดจากร่างของตัวอ่อนไปก่อนที่มันจะถูกคลอดออกมา
เมื่อดูเผินๆ วาฬมีลำตัวที่ดูคล้ายตอร์ปิโด มันมีศีรษะใหญ่ ไม่มีคอ ตาของมันมีขนาดเล็ก รูจมูกของมันอยู่บนหลัง มันหายใจได้เช่นคนโดยผ่านรูจมูก 2 รู ตามธรรมดาวาฬชอบกินสัตว์น้ำ เช่น กุ้ง หมึก แมวน้ำ และปลาต่างๆ เป็นอาหาร เวลาว่ายน้ำมันใช้หางโบกขึ้นลงๆ ทำให้ว่ายน้ำได้เร็ว โดยเฉพาะ วาฬเพชฌฆาต (Orcinus orca) นั้นสามารถว่ายน้ำได้เร็วถึง 56 กิโลเมตร/ชั่วโมง ส่วนความสามารถด้านการดำน้ำลึกนั้น นักชีววิทยาได้สังเกตเห็นว่า วาฬสีน้ำเงิน (Physeter catadon) ดำน้ำได้ลึกถึง 3 กิโลเมตร การดำน้ำได้ลึกเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่า วาฬ สามารถกลั้นลมหายใจได้นานเป็นชั่วโมง และออกซิเจนไม่ได้อยู่ที่ปอดของมันเพียงแห่งเดียว แต่อยู่ในส่วนที่เป็นกล้ามเนื้อด้วย การมีออกซิเจนในตัวมากเช่นนี้ ทำให้เนื้อวาฬมีสีแดงเข้มจัดกว่าเนื้อสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดอื่นๆ
การสังเกตของ A.R. Martin แห่ง Sea Mammal Research Unit ของ Natural Environment Research Council ในประเทศอังกฤษ ได้รายงานว่า หลังจากได้ติดตั้งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับส่งสัญญาณบนหลังวาฬแล้วเขาใช้ ดาวเทียมรับ และวิเคราะห์สัญญาณจากวาฬ ผลการศึกษาข้อมูลทำให้เขารู้ว่า วาฬตัวผู้เวลาอพยพจากทะเล Beaufort ไปยังเกาะ Melville มันต้องว่ายน้ำผ่านทวีปที่มีน้ำแข็งปกคลุม เมื่อมันว่ายเหนือน้ำไม่ได้ มันก็ต้องดำน้ำไป โดยการลอดใต้ก้อนน้ำแข็งมากมาย และในการดำน้ำ มันจะดำในแนวเฉียงลึกลงไปเป็นกิโลเมตรแล้วจึงหวนกลับ ขึ้นผิวน้ำเพื่อหายใจอีก มันจะดำน้ำลักษณะตัว V เช่นนี้เพราะที่ระดับลึกมากๆ วาฬมีโอกาสเห็นช่องว่างระหว่างภูเขาน้ำแข็งในทะเลได้ง่าย ซึ่งบริเวณช่องว่างนี้จะเป็นบริเวณที่มันสามารถโผล่หัวขึ้นมาหายใจได้ หากมันต้องการ
การส่งสัญญาณไปกระทบเหยื่อ ทำให้วาฬสามารถรู้ตำแหน่งของเหยื่อได้
นอกจากความสามารถในการดำน้ำแล้ว วาฬยังสามารถส่งเสียง และทำเสียงสัญญาณต่างๆ ได้อีกมากด้วยและนับตั้งแต่วินาทีที่มันถูกคลอดออกจากท้องของแม่มัน จนกระทั่งถึงวินาทีสุดท้ายก่อนที่มันจะตายมันจะส่งเสียงและรับเสียงต่างๆ ตลอดเวลาทั้งกลางวันและกลางคืน หรือในยามมันออกหาล่ามันก็จะส่งคลื่นเสียงออกไปกระทบตัวเหยื่อก่อน จากนั้นมันจะคอยฟังคลื่นที่สะท้อนจากเหยื่อ ข้อมูลที่ได้จะบอกมันให้รู้ชนิดและตำแหน่งของเหยื่อ และถึงแม้วาฬจะไม่มีคอและไม่มีสายเสียงก็ตาม แต่มันก็สามารถส่งเสียงร้องออกไปได้ไกลๆ เสียงของวาฬบางพันธุ์ ดังพอๆ กับเครื่องบินเจ็ท นักชีววิทยายังได้สังเกตเห็นอีกว่า เวลาวาฬสนทนากัน มันจะส่งเสียงร้องลักษณะหนึ่งแต่เวลามันจะฆ่าเหยื่อมันจะร้องอื้ออึงอีกแบบ หนึ่งหรือเวลาที่มันว่ายน้ำเป็นกลุ่ม มันจะส่งเสียงร้องที่มีทำนองต่างออกไป เพื่อบอกเพื่อนร่วมทะเลให้รู้ทิศและตำแหน่งที่มันกำลังว่ายน้ำอยู่วาฬจะส่ง เสียงร้องเป็นจังหวะ เช่น วาฬสีน้ำเงินเวลาอพยพย้ายถิ่น จะส่งเสียงร้องนาน 20 วินาที สลับกับการว่ายน้ำเงียบ 20 วินาที
ปัจจุบันนักอนุรักษ์วาฬใช้ข้อมูลเสียงของวาฬในการบอกจำนวน ชนิดและกิจกรรมต่างๆ ที่วาฬกระทำ เพราะข้อมูลเสียงนี้ชัดเจน แม่นยำ และถูกต้องยิ่งกว่าการสังเกตดูวาฬด้วยตาจากระยะไกลๆ
ปัญหาหนึ่งที่นักชีววิทยาสนใจมาก คือบรรพบุรุษของวาฬคือสัตว์อะไร ในช่วงระยะเวลา 150 ปีที่ผ่านมานี้ นักชีววิทยาที่เชี่ยวชาญด้านสัตว์ดึกดำบรรพ์ได้ขุดพบหลักฐานมากมายที่แสดง ให้เห็นว่า ในอดีตเมื่อ 65-75 ล้านปีมาแล้ว บรรพบุรุษของวาฬได้เคยอาศัยอยู่บนบกและเคยเดินได้ หลักฐานหนึ่งที่พบในหุบเขา Zeuglodon ในประเทศอียิปต์ แสดงให้เห็นซากกะโหลกวาฬที่มีฟันเป็นซี่ๆ มีลำตัวยาว 12 เมตร และมีกระดูกขาหลังที่เล็กมากซึ่งอยู่ค่อนไปทางหางกระดูกขาที่เล็กมาของวาฬ Basilosaususisis ที่มีอายุประมาณ 40 ล้านปีนี้ แสดงให้เห็นว่า วาฬยุคนั้นยังเดินไม่ได้
แต่ในปี พ.ศ.2535 นั่นเอง H.Thewissen แห่งมหาวิทยาลัย Ohio ได้รายงานในวารสาร Science ว่าเขาได้ขุดพบกระดูกของวาฬ Ambulocetusnatans อายุ 52 ล้านปี ในบริเวณภูเขา Kala Chitta ทางตอนเหนือของประเทศปากีสถานโครงกระดูกที่ค่อนข้างสมบูรณ์นี้ประกอบด้วย กะโหลกที่มีฟัน ซี่โครงกระดูกขา 4 ขา หน้า หลัง และหาง Thewissen คาดคะเนว่า วาฬเจ้าของซากกระดูกนี้มีลำตัวยาว 3 เมตร และหนักประมาณ 300 กิโลกรัม กระดูกขาหน้าที่สั้นและอยู่ติดกับลำตัวนั้น แสดงให้เห็นว่า มันใช้ขาหน้าในการเคลื่อนที่บนบก โดยการขยับตัวยกอกแล้วลากท้องไปตามพื้นดินเหมือนสิงโตทะเลส่วนขาหลังนั้นหด เล็ก และยาวเพียง 4 นิ้วเท่านั้นเอง การมีโครงสร้างร่างกายเช่นนี้ ทำให้มันเป็นสัตว์บกที่งุ่มง่ามมาก การหาอาหารเลี้ยงปากท้องจึงเป็นไปอย่างยากลำบาก แต่เมื่อมันอยู่ในน้ำ มันได้พบว่า มันสามารถว่ายน้ำได้อย่างคล่องแคล่ว อาหารที่มันบริโภคจึงมักเป็นอาหารที่มันหาได้ในทะเล ดังนั้น ต้นตระกูลของวาฬจึงได้ตัดสินใจอพยพจากบกลงทะเลอย่างถาวร เมื่อ 50 ล้านปีมานี้เอง และดำรงชีวิตเป็นสัตว์น้ำอย่างไม่หวนกลับขึ้นบกอีกเลย ซึ่งพฤติกรรมนี้แตกต่างจากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่นๆ เช่น แมวน้ำ และตัววอลัส ที่เวลาจะคลอดลูกมันจะขึ้นจากทะเล
วาฬถูกรบกวนจากมนุษย์เป็นอย่างมาก จนกระทั่งมีการประกาศให้วาฬเป็นสัตว์โลกที่ควรอนุรักษ์ในเวลาต่อมา
ประวัติศาสตร์ได้บันทึกว่า ในอดีตเมื่อ 1,000 ปีก่อนนี้ ชนเผ่า Basque ในยุโรปเป็นชนเผ่าแรกที่ดำรงชีวิตโดยการจับวาฬมาเป็นอาหาร ต่อมาในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 16 ชาวแคนาดา อังกฤษ และเนเธอร์แลนด์ ก็ได้เริ่มเข้ามาประกอบอาชีพเป็นนักล่าวาฬด้วย เรือ Mayflower ที่เคยใช้บรรทุกผู้โดยสารจากยุโรป สู่อเมริกาก็เคยเป็นเรือล่าวาฬ และกิจกรรมล่าวาฬได้มีการดำเนินการกันอย่างกว้างขวางและจริงจัง เพราะมนุษย์พบว่า แทบทุกส่วนของวาฬมีประโยชน์ เช่น ไขใช้ทำสบู่ น้ำมันหล่อลื่น เชื้อเพลิงจุดตะเกียง เนื้อใช้บริโภคและกระดูกวาฬใช้ทำเป็นปุ๋ย
ทุกวันนี้วาฬกำลังถูกไล่ล่าและฆ่ามากมาย วาฬบางตัวได้รับเสียงรบกวนจากเรือ จากเครื่องยนต์ในทะเลหรือจากการทดลองทางวิทยาศาสตร์ เมื่อมีการสำรวจพบในปี พ.ศ.2509 ว่า จำนวนประชากรวาฬกำลังร่อยหรอคือเหลือเพียง 12,000 ตัว เท่านั้นเองวาฬ ก็ได้รับการประกาศว่า วาฬเป็นสัตว์ที่โลกควรอนุรักษ์ตั้งแต่นั้นมา
ในวารสาร Proceedings of the National Academy of Sciences ฉบับเดือนมีนาคม พ.ศ.2541 H. Caswell แห่ง Woods Hole Oceanographic Institution ในสหรัฐอเมริกาได้รายงานการสำรวจวาฬ right whale ในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือว่า หากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงวาฬนี้จะสูญพันธุ์ในอีก 200 ปีข้างหน้า เขาได้ข้อมูลนี้จากการเริ่มถ่ายภาพวาฬพันธุ์ right whale ตั้งแต่ปี พ.ศ.2523 และได้คำนวณพบว่า อัตราการอยู่รอดของวาฬพันธุ์นี้ได้ลดน้อยลงในทุกปี โดยในปี พ.ศ.2523 นั้น เขาได้พบว่า จำนวนประชากรของวาฬได้เพิ่มขึ้น 5.3% แต่หลังจากนั้นจำนวนก็ได้ลดลง 2.4% ทุกปี และเขาได้พบสาเหตุสำคัญทำให้โลกต้องสูญเสียวาฬมากที่สุดว่า เกิดจากการที่วาฬถูกเรือชน และเมื่ออัตราการเกิดลด เพราะวาฬผสมพันธุ์กันในตระกูลเดียวกัน และมลภาวะของทะเลมีมากขึ้นทุกวัน จำนวนวาฬจึงได้ลดลงทุกปี
Caswell ได้เสนอแนะให้รัฐบาลสหรัฐฯ ออกกฎหมายแก้ไขสาเหตุเหล่านี้ ซึ่งรัฐบาลสหรัฐฯ ก็เห็นด้วย โดยได้ออกกฎหมายบังคับให้เรือทุกลำที่จะแล่นเข้าน่านน้ำ New England และ Florida ติดต่อยามฝั่งขอข้อมูลตำแหน่งวาฬครั้งล่าสุดอีกด้วย...
ธรรมชาติของ "วาฬ"
ถึง แม้ว่าช้างจะเป็นสัตว์บกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกก็ตาม แต่ช้างก็ยังมีขนาดตัวเล็กเมื่อเปรียบเทียบกับวาฬ เพราะสถิติวาฬ Balaenoptera ที่มีลำตัวยาวที่สุดในโลกนั้น ยาวถึง 34 เมตร และหนัก 190 ตัน ซึ่งคิดเทียบได้กับช้าง 10 ตัว แม้แต่ไดโนเสาร์เองซึ่งคนบางคนคิดว่า ใหญ่กว่าวาฬก็ยังหาได้ใหญ่เท่าไม่ ทั้งนี้เพราะความยาวของไดโนเสาร์ส่วนใหญ่อยู่ที่คอและหาง ส่วนที่เป็นลำตัวจริงๆ จึงยาวน้อยกว่าวาฬ
John Ray
มนุษย์รู้จักวาฬมานานแสนนานแล้ว Aristotle นักปราชญ์ชาติกรีกในสมัยพุทธกาลได้เคยหลงผิดคิดว่า วาฬเป็นปลา และความหลงผิดนี้ได้ติดตามมาจนกระทั่งปี พ.ศ.2236 John Ray นักชีววิทยาชาวอังกฤษก็ได้เป็นบุคคลแรกที่ตระหนักความจริงว่า วาฬไม่ใช่ปลาแต่เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เพราะมันออกลูกเป็นตัว และเลี้ยงลูกอ่อนของมันด้วยนม ตามปกติวาฬจะตั้งครรภ์นาน 1 ปี และเวลาคลอดลูกส่วนหางของลูกจะโผล่ออกมาก่อน
ลูกวาฬสีน้ำเงิน (blue whale) ที่คลอดใหม่ๆ มีลำตัวยาวประมาณ 6 เมตร และหนักประมาณ 2 ตัน และเนื่องจากนมวาฬมีโปรตีนและไขมันสูง ลูกวาฬจึงเจริญเติบโตเร็ว นักชีววิทยายังได้สังเกตเห็นอีกว่า หากเราเจาะครรภ์วาฬก่อนคลอดลูก จะพบว่า ลูกวาฬในท้องมีขนตามตัว แต่ขนเหล่านี้ได้หลุดจากร่างของตัวอ่อนไปก่อนที่มันจะถูกคลอดออกมา
เมื่อดูเผินๆ วาฬมีลำตัวที่ดูคล้ายตอร์ปิโด มันมีศีรษะใหญ่ ไม่มีคอ ตาของมันมีขนาดเล็ก รูจมูกของมันอยู่บนหลัง มันหายใจได้เช่นคนโดยผ่านรูจมูก 2 รู ตามธรรมดาวาฬชอบกินสัตว์น้ำ เช่น กุ้ง หมึก แมวน้ำ และปลาต่างๆ เป็นอาหาร เวลาว่ายน้ำมันใช้หางโบกขึ้นลงๆ ทำให้ว่ายน้ำได้เร็ว โดยเฉพาะ วาฬเพชฌฆาต (Orcinus orca) นั้นสามารถว่ายน้ำได้เร็วถึง 56 กิโลเมตร/ชั่วโมง ส่วนความสามารถด้านการดำน้ำลึกนั้น นักชีววิทยาได้สังเกตเห็นว่า วาฬสีน้ำเงิน (Physeter catadon) ดำน้ำได้ลึกถึง 3 กิโลเมตร การดำน้ำได้ลึกเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่า วาฬ สามารถกลั้นลมหายใจได้นานเป็นชั่วโมง และออกซิเจนไม่ได้อยู่ที่ปอดของมันเพียงแห่งเดียว แต่อยู่ในส่วนที่เป็นกล้ามเนื้อด้วย การมีออกซิเจนในตัวมากเช่นนี้ ทำให้เนื้อวาฬมีสีแดงเข้มจัดกว่าเนื้อสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดอื่นๆ
การสังเกตของ A.R. Martin แห่ง Sea Mammal Research Unit ของ Natural Environment Research Council ในประเทศอังกฤษ ได้รายงานว่า หลังจากได้ติดตั้งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับส่งสัญญาณบนหลังวาฬแล้วเขาใช้ ดาวเทียมรับ และวิเคราะห์สัญญาณจากวาฬ ผลการศึกษาข้อมูลทำให้เขารู้ว่า วาฬตัวผู้เวลาอพยพจากทะเล Beaufort ไปยังเกาะ Melville มันต้องว่ายน้ำผ่านทวีปที่มีน้ำแข็งปกคลุม เมื่อมันว่ายเหนือน้ำไม่ได้ มันก็ต้องดำน้ำไป โดยการลอดใต้ก้อนน้ำแข็งมากมาย และในการดำน้ำ มันจะดำในแนวเฉียงลึกลงไปเป็นกิโลเมตรแล้วจึงหวนกลับ ขึ้นผิวน้ำเพื่อหายใจอีก มันจะดำน้ำลักษณะตัว V เช่นนี้เพราะที่ระดับลึกมากๆ วาฬมีโอกาสเห็นช่องว่างระหว่างภูเขาน้ำแข็งในทะเลได้ง่าย ซึ่งบริเวณช่องว่างนี้จะเป็นบริเวณที่มันสามารถโผล่หัวขึ้นมาหายใจได้ หากมันต้องการ
(คลิกเพื่อดูภาพขนาดใหญ่)
การส่งสัญญาณไปกระทบเหยื่อ ทำให้วาฬสามารถรู้ตำแหน่งของเหยื่อได้
นอกจากความสามารถในการดำน้ำแล้ว วาฬยังสามารถส่งเสียง และทำเสียงสัญญาณต่างๆ ได้อีกมากด้วยและนับตั้งแต่วินาทีที่มันถูกคลอดออกจากท้องของแม่มัน จนกระทั่งถึงวินาทีสุดท้ายก่อนที่มันจะตายมันจะส่งเสียงและรับเสียงต่างๆ ตลอดเวลาทั้งกลางวันและกลางคืน หรือในยามมันออกหาล่ามันก็จะส่งคลื่นเสียงออกไปกระทบตัวเหยื่อก่อน จากนั้นมันจะคอยฟังคลื่นที่สะท้อนจากเหยื่อ ข้อมูลที่ได้จะบอกมันให้รู้ชนิดและตำแหน่งของเหยื่อ และถึงแม้วาฬจะไม่มีคอและไม่มีสายเสียงก็ตาม แต่มันก็สามารถส่งเสียงร้องออกไปได้ไกลๆ เสียงของวาฬบางพันธุ์ ดังพอๆ กับเครื่องบินเจ็ท
นักชีววิทยายังได้สังเกตเห็นอีกว่า เวลาวาฬสนทนากัน มันจะส่งเสียงร้องลักษณะหนึ่งแต่เวลามันจะฆ่าเหยื่อมันจะร้องอื้ออึงอีกแบบ หนึ่งหรือเวลาที่มันว่ายน้ำเป็นกลุ่ม มันจะส่งเสียงร้องที่มีทำนองต่างออกไป เพื่อบอกเพื่อนร่วมทะเลให้รู้ทิศและตำแหน่งที่มันกำลังว่ายน้ำอยู่วาฬจะส่ง เสียงร้องเป็นจังหวะ เช่น วาฬสีน้ำเงินเวลาอพยพย้ายถิ่น จะส่งเสียงร้องนาน 20 วินาที สลับกับการว่ายน้ำเงียบ 20 วินาที
ปัจจุบันนักอนุรักษ์วาฬใช้ข้อมูลเสียงของวาฬในการบอกจำนวน ชนิดและกิจกรรมต่างๆ ที่วาฬกระทำ เพราะข้อมูลเสียงนี้ชัดเจน แม่นยำ และถูกต้องยิ่งกว่าการสังเกตดูวาฬด้วยตาจากระยะไกลๆ
ปัญหาหนึ่งที่นักชีววิทยาสนใจมาก คือบรรพบุรุษของวาฬคือสัตว์อะไร ในช่วงระยะเวลา 150 ปีที่ผ่านมานี้ นักชีววิทยาที่เชี่ยวชาญด้านสัตว์ดึกดำบรรพ์ได้ขุดพบหลักฐานมากมายที่แสดง ให้เห็นว่า ในอดีตเมื่อ 65-75 ล้านปีมาแล้ว บรรพบุรุษของวาฬได้เคยอาศัยอยู่บนบกและเคยเดินได้ หลักฐานหนึ่งที่พบในหุบเขา Zeuglodon ในประเทศอียิปต์ แสดงให้เห็นซากกะโหลกวาฬที่มีฟันเป็นซี่ๆ มีลำตัวยาว 12 เมตร และมีกระดูกขาหลังที่เล็กมากซึ่งอยู่ค่อนไปทางหางกระดูกขาที่เล็กมาของวาฬ Basilosaususisis ที่มีอายุประมาณ 40 ล้านปีนี้ แสดงให้เห็นว่า วาฬยุคนั้นยังเดินไม่ได้
แต่ในปี พ.ศ.2535 นั่นเอง H.Thewissen แห่งมหาวิทยาลัย Ohio ได้รายงานในวารสาร Science ว่าเขาได้ขุดพบกระดูกของวาฬ Ambulocetusnatans อายุ 52 ล้านปี ในบริเวณภูเขา Kala Chitta ทางตอนเหนือของประเทศปากีสถานโครงกระดูกที่ค่อนข้างสมบูรณ์นี้ประกอบด้วย กะโหลกที่มีฟัน ซี่โครงกระดูกขา 4 ขา หน้า หลัง และหาง Thewissen คาดคะเนว่า วาฬเจ้าของซากกระดูกนี้มีลำตัวยาว 3 เมตร และหนักประมาณ 300 กิโลกรัม กระดูกขาหน้าที่สั้นและอยู่ติดกับลำตัวนั้น แสดงให้เห็นว่า มันใช้ขาหน้าในการเคลื่อนที่บนบก โดยการขยับตัวยกอกแล้วลากท้องไปตามพื้นดินเหมือนสิงโตทะเลส่วนขาหลังนั้นหด เล็ก และยาวเพียง 4 นิ้วเท่านั้นเอง การมีโครงสร้างร่างกายเช่นนี้ ทำให้มันเป็นสัตว์บกที่งุ่มง่ามมาก การหาอาหารเลี้ยงปากท้องจึงเป็นไปอย่างยากลำบาก แต่เมื่อมันอยู่ในน้ำ มันได้พบว่า มันสามารถว่ายน้ำได้อย่างคล่องแคล่ว อาหารที่มันบริโภคจึงมักเป็นอาหารที่มันหาได้ในทะเล ดังนั้น ต้นตระกูลของวาฬจึงได้ตัดสินใจอพยพจากบกลงทะเลอย่างถาวร เมื่อ 50 ล้านปีมานี้เอง และดำรงชีวิตเป็นสัตว์น้ำอย่างไม่หวนกลับขึ้นบกอีกเลย ซึ่งพฤติกรรมนี้แตกต่างจากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่นๆ เช่น แมวน้ำ และตัววอลัส ที่เวลาจะคลอดลูกมันจะขึ้นจากทะเล
(คลิกเพื่อดูภาพขนาดใหญ่)
วาฬถูกรบกวนจากมนุษย์เป็นอย่างมาก จนกระทั่งมีการประกาศให้วาฬเป็นสัตว์โลกที่ควรอนุรักษ์ในเวลาต่อมา
ประวัติศาสตร์ได้บันทึกว่า ในอดีตเมื่อ 1,000 ปีก่อนนี้ ชนเผ่า Basque ในยุโรปเป็นชนเผ่าแรกที่ดำรงชีวิตโดยการจับวาฬมาเป็นอาหาร ต่อมาในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 16 ชาวแคนาดา อังกฤษ และเนเธอร์แลนด์ ก็ได้เริ่มเข้ามาประกอบอาชีพเป็นนักล่าวาฬด้วย เรือ Mayflower ที่เคยใช้บรรทุกผู้โดยสารจากยุโรป สู่อเมริกาก็เคยเป็นเรือล่าวาฬ และกิจกรรมล่าวาฬได้มีการดำเนินการกันอย่างกว้างขวางและจริงจัง เพราะมนุษย์พบว่า แทบทุกส่วนของวาฬมีประโยชน์ เช่น ไขใช้ทำสบู่ น้ำมันหล่อลื่น เชื้อเพลิงจุดตะเกียง เนื้อใช้บริโภคและกระดูกวาฬใช้ทำเป็นปุ๋ย
ทุกวันนี้วาฬกำลังถูกไล่ล่าและฆ่ามากมาย วาฬบางตัวได้รับเสียงรบกวนจากเรือ จากเครื่องยนต์ในทะเลหรือจากการทดลองทางวิทยาศาสตร์ เมื่อมีการสำรวจพบในปี พ.ศ.2509 ว่า จำนวนประชากรวาฬกำลังร่อยหรอคือเหลือเพียง 12,000 ตัว เท่านั้นเองวาฬ ก็ได้รับการประกาศว่า วาฬเป็นสัตว์ที่โลกควรอนุรักษ์ตั้งแต่นั้นมา
ในวารสาร Proceedings of the National Academy of Sciences ฉบับเดือนมีนาคม พ.ศ.2541 H. Caswell แห่ง Woods Hole Oceanographic Institution ในสหรัฐอเมริกาได้รายงานการสำรวจวาฬ right whale ในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือว่า หากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงวาฬนี้จะสูญพันธุ์ในอีก 200 ปีข้างหน้า เขาได้ข้อมูลนี้จากการเริ่มถ่ายภาพวาฬพันธุ์ right whale ตั้งแต่ปี พ.ศ.2523 และได้คำนวณพบว่า อัตราการอยู่รอดของวาฬพันธุ์นี้ได้ลดน้อยลงในทุกปี โดยในปี พ.ศ.2523 นั้น เขาได้พบว่า จำนวนประชากรของวาฬได้เพิ่มขึ้น 5.3% แต่หลังจากนั้นจำนวนก็ได้ลดลง 2.4% ทุกปี และเขาได้พบสาเหตุสำคัญทำให้โลกต้องสูญเสียวาฬมากที่สุดว่า เกิดจากการที่วาฬถูกเรือชน และเมื่ออัตราการเกิดลด เพราะวาฬผสมพันธุ์กันในตระกูลเดียวกัน และมลภาวะของทะเลมีมากขึ้นทุกวัน จำนวนวาฬจึงได้ลดลงทุกปี
Caswell ได้เสนอแนะให้รัฐบาลสหรัฐฯ ออกกฎหมายแก้ไขสาเหตุเหล่านี้ ซึ่งรัฐบาลสหรัฐฯ ก็เห็นด้วย โดยได้ออกกฎหมายบังคับให้เรือทุกลำที่จะแล่นเข้าน่านน้ำ New England และ Florida ติดต่อยามฝั่งขอข้อมูลตำแหน่งวาฬครั้งล่าสุดอีกด้วย...
ถึง แม้ว่าช้างจะเป็นสัตว์บกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกก็ตาม แต่ช้างก็ยังมีขนาดตัวเล็กเมื่อเปรียบเทียบกับวาฬ เพราะสถิติวาฬ Balaenoptera ที่มีลำตัวยาวที่สุดในโลกนั้น ยาวถึง 34 เมตร และหนัก 190 ตัน ซึ่งคิดเทียบได้กับช้าง 10 ตัว แม้แต่ไดโนเสาร์เองซึ่งคนบางคนคิดว่า ใหญ่กว่าวาฬก็ยังหาได้ใหญ่เท่าไม่ ทั้งนี้เพราะความยาวของไดโนเสาร์ส่วนใหญ่อยู่ที่คอและหาง ส่วนที่เป็นลำตัวจริงๆ จึงยาวน้อยกว่าวาฬ
John Ray
มนุษย์รู้จักวาฬมานานแสนนานแล้ว Aristotle นักปราชญ์ชาติกรีกในสมัยพุทธกาลได้เคยหลงผิดคิดว่า วาฬเป็นปลา และความหลงผิดนี้ได้ติดตามมาจนกระทั่งปี พ.ศ.2236 John Ray นักชีววิทยาชาวอังกฤษก็ได้เป็นบุคคลแรกที่ตระหนักความจริงว่า วาฬไม่ใช่ปลาแต่เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เพราะมันออกลูกเป็นตัว และเลี้ยงลูกอ่อนของมันด้วยนม ตามปกติวาฬจะตั้งครรภ์นาน 1 ปี และเวลาคลอดลูกส่วนหางของลูกจะโผล่ออกมาก่อน
ลูกวาฬสีน้ำเงิน (blue whale) ที่คลอดใหม่ๆ มีลำตัวยาวประมาณ 6 เมตร และหนักประมาณ 2 ตัน และเนื่องจากนมวาฬมีโปรตีนและไขมันสูง ลูกวาฬจึงเจริญเติบโตเร็ว นักชีววิทยายังได้สังเกตเห็นอีกว่า หากเราเจาะครรภ์วาฬก่อนคลอดลูก จะพบว่า ลูกวาฬในท้องมีขนตามตัว แต่ขนเหล่านี้ได้หลุดจากร่างของตัวอ่อนไปก่อนที่มันจะถูกคลอดออกมา
เมื่อดูเผินๆ วาฬมีลำตัวที่ดูคล้ายตอร์ปิโด มันมีศีรษะใหญ่ ไม่มีคอ ตาของมันมีขนาดเล็ก รูจมูกของมันอยู่บนหลัง มันหายใจได้เช่นคนโดยผ่านรูจมูก 2 รู ตามธรรมดาวาฬชอบกินสัตว์น้ำ เช่น กุ้ง หมึก แมวน้ำ และปลาต่างๆ เป็นอาหาร เวลาว่ายน้ำมันใช้หางโบกขึ้นลงๆ ทำให้ว่ายน้ำได้เร็ว โดยเฉพาะ วาฬเพชฌฆาต (Orcinus orca) นั้นสามารถว่ายน้ำได้เร็วถึง 56 กิโลเมตร/ชั่วโมง ส่วนความสามารถด้านการดำน้ำลึกนั้น นักชีววิทยาได้สังเกตเห็นว่า วาฬสีน้ำเงิน (Physeter catadon) ดำน้ำได้ลึกถึง 3 กิโลเมตร การดำน้ำได้ลึกเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่า วาฬ สามารถกลั้นลมหายใจได้นานเป็นชั่วโมง และออกซิเจนไม่ได้อยู่ที่ปอดของมันเพียงแห่งเดียว แต่อยู่ในส่วนที่เป็นกล้ามเนื้อด้วย การมีออกซิเจนในตัวมากเช่นนี้ ทำให้เนื้อวาฬมีสีแดงเข้มจัดกว่าเนื้อสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดอื่นๆ
การสังเกตของ A.R. Martin แห่ง Sea Mammal Research Unit ของ Natural Environment Research Council ในประเทศอังกฤษ ได้รายงานว่า หลังจากได้ติดตั้งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับส่งสัญญาณบนหลังวาฬแล้วเขาใช้ ดาวเทียมรับ และวิเคราะห์สัญญาณจากวาฬ ผลการศึกษาข้อมูลทำให้เขารู้ว่า วาฬตัวผู้เวลาอพยพจากทะเล Beaufort ไปยังเกาะ Melville มันต้องว่ายน้ำผ่านทวีปที่มีน้ำแข็งปกคลุม เมื่อมันว่ายเหนือน้ำไม่ได้ มันก็ต้องดำน้ำไป โดยการลอดใต้ก้อนน้ำแข็งมากมาย และในการดำน้ำ มันจะดำในแนวเฉียงลึกลงไปเป็นกิโลเมตรแล้วจึงหวนกลับ ขึ้นผิวน้ำเพื่อหายใจอีก มันจะดำน้ำลักษณะตัว V เช่นนี้เพราะที่ระดับลึกมากๆ วาฬมีโอกาสเห็นช่องว่างระหว่างภูเขาน้ำแข็งในทะเลได้ง่าย ซึ่งบริเวณช่องว่างนี้จะเป็นบริเวณที่มันสามารถโผล่หัวขึ้นมาหายใจได้ หากมันต้องการ
(คลิกเพื่อดูภาพขนาดใหญ่)
การส่งสัญญาณไปกระทบเหยื่อ ทำให้วาฬสามารถรู้ตำแหน่งของเหยื่อได้
นอกจากความสามารถในการดำน้ำแล้ว วาฬยังสามารถส่งเสียง และทำเสียงสัญญาณต่างๆ ได้อีกมากด้วยและนับตั้งแต่วินาทีที่มันถูกคลอดออกจากท้องของแม่มัน จนกระทั่งถึงวินาทีสุดท้ายก่อนที่มันจะตายมันจะส่งเสียงและรับเสียงต่างๆ ตลอดเวลาทั้งกลางวันและกลางคืน หรือในยามมันออกหาล่ามันก็จะส่งคลื่นเสียงออกไปกระทบตัวเหยื่อก่อน จากนั้นมันจะคอยฟังคลื่นที่สะท้อนจากเหยื่อ ข้อมูลที่ได้จะบอกมันให้รู้ชนิดและตำแหน่งของเหยื่อ และถึงแม้วาฬจะไม่มีคอและไม่มีสายเสียงก็ตาม แต่มันก็สามารถส่งเสียงร้องออกไปได้ไกลๆ เสียงของวาฬบางพันธุ์ ดังพอๆ กับเครื่องบินเจ็ท
นักชีววิทยายังได้สังเกตเห็นอีกว่า เวลาวาฬสนทนากัน มันจะส่งเสียงร้องลักษณะหนึ่งแต่เวลามันจะฆ่าเหยื่อมันจะร้องอื้ออึงอีกแบบ หนึ่งหรือเวลาที่มันว่ายน้ำเป็นกลุ่ม มันจะส่งเสียงร้องที่มีทำนองต่างออกไป เพื่อบอกเพื่อนร่วมทะเลให้รู้ทิศและตำแหน่งที่มันกำลังว่ายน้ำอยู่วาฬจะส่ง เสียงร้องเป็นจังหวะ เช่น วาฬสีน้ำเงินเวลาอพยพย้ายถิ่น จะส่งเสียงร้องนาน 20 วินาที สลับกับการว่ายน้ำเงียบ 20 วินาที
ปัจจุบันนักอนุรักษ์วาฬใช้ข้อมูลเสียงของวาฬในการบอกจำนวน ชนิดและกิจกรรมต่างๆ ที่วาฬกระทำ เพราะข้อมูลเสียงนี้ชัดเจน แม่นยำ และถูกต้องยิ่งกว่าการสังเกตดูวาฬด้วยตาจากระยะไกลๆ
ปัญหาหนึ่งที่นักชีววิทยาสนใจมาก คือบรรพบุรุษของวาฬคือสัตว์อะไร ในช่วงระยะเวลา 150 ปีที่ผ่านมานี้ นักชีววิทยาที่เชี่ยวชาญด้านสัตว์ดึกดำบรรพ์ได้ขุดพบหลักฐานมากมายที่แสดง ให้เห็นว่า ในอดีตเมื่อ 65-75 ล้านปีมาแล้ว บรรพบุรุษของวาฬได้เคยอาศัยอยู่บนบกและเคยเดินได้ หลักฐานหนึ่งที่พบในหุบเขา Zeuglodon ในประเทศอียิปต์ แสดงให้เห็นซากกะโหลกวาฬที่มีฟันเป็นซี่ๆ มีลำตัวยาว 12 เมตร และมีกระดูกขาหลังที่เล็กมากซึ่งอยู่ค่อนไปทางหางกระดูกขาที่เล็กมาของวาฬ Basilosaususisis ที่มีอายุประมาณ 40 ล้านปีนี้ แสดงให้เห็นว่า วาฬยุคนั้นยังเดินไม่ได้
แต่ในปี พ.ศ.2535 นั่นเอง H.Thewissen แห่งมหาวิทยาลัย Ohio ได้รายงานในวารสาร Science ว่าเขาได้ขุดพบกระดูกของวาฬ Ambulocetusnatans อายุ 52 ล้านปี ในบริเวณภูเขา Kala Chitta ทางตอนเหนือของประเทศปากีสถานโครงกระดูกที่ค่อนข้างสมบูรณ์นี้ประกอบด้วย กะโหลกที่มีฟัน ซี่โครงกระดูกขา 4 ขา หน้า หลัง และหาง Thewissen คาดคะเนว่า วาฬเจ้าของซากกระดูกนี้มีลำตัวยาว 3 เมตร และหนักประมาณ 300 กิโลกรัม กระดูกขาหน้าที่สั้นและอยู่ติดกับลำตัวนั้น แสดงให้เห็นว่า มันใช้ขาหน้าในการเคลื่อนที่บนบก โดยการขยับตัวยกอกแล้วลากท้องไปตามพื้นดินเหมือนสิงโตทะเลส่วนขาหลังนั้นหด เล็ก และยาวเพียง 4 นิ้วเท่านั้นเอง การมีโครงสร้างร่างกายเช่นนี้ ทำให้มันเป็นสัตว์บกที่งุ่มง่ามมาก การหาอาหารเลี้ยงปากท้องจึงเป็นไปอย่างยากลำบาก แต่เมื่อมันอยู่ในน้ำ มันได้พบว่า มันสามารถว่ายน้ำได้อย่างคล่องแคล่ว อาหารที่มันบริโภคจึงมักเป็นอาหารที่มันหาได้ในทะเล ดังนั้น ต้นตระกูลของวาฬจึงได้ตัดสินใจอพยพจากบกลงทะเลอย่างถาวร เมื่อ 50 ล้านปีมานี้เอง และดำรงชีวิตเป็นสัตว์น้ำอย่างไม่หวนกลับขึ้นบกอีกเลย ซึ่งพฤติกรรมนี้แตกต่างจากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่นๆ เช่น แมวน้ำ และตัววอลัส ที่เวลาจะคลอดลูกมันจะขึ้นจากทะเล
(คลิกเพื่อดูภาพขนาดใหญ่)
วาฬถูกรบกวนจากมนุษย์เป็นอย่างมาก จนกระทั่งมีการประกาศให้วาฬเป็นสัตว์โลกที่ควรอนุรักษ์ในเวลาต่อมา
ประวัติศาสตร์ได้บันทึกว่า ในอดีตเมื่อ 1,000 ปีก่อนนี้ ชนเผ่า Basque ในยุโรปเป็นชนเผ่าแรกที่ดำรงชีวิตโดยการจับวาฬมาเป็นอาหาร ต่อมาในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 16 ชาวแคนาดา อังกฤษ และเนเธอร์แลนด์ ก็ได้เริ่มเข้ามาประกอบอาชีพเป็นนักล่าวาฬด้วย เรือ Mayflower ที่เคยใช้บรรทุกผู้โดยสารจากยุโรป สู่อเมริกาก็เคยเป็นเรือล่าวาฬ และกิจกรรมล่าวาฬได้มีการดำเนินการกันอย่างกว้างขวางและจริงจัง เพราะมนุษย์พบว่า แทบทุกส่วนของวาฬมีประโยชน์ เช่น ไขใช้ทำสบู่ น้ำมันหล่อลื่น เชื้อเพลิงจุดตะเกียง เนื้อใช้บริโภคและกระดูกวาฬใช้ทำเป็นปุ๋ย
ทุกวันนี้วาฬกำลังถูกไล่ล่าและฆ่ามากมาย วาฬบางตัวได้รับเสียงรบกวนจากเรือ จากเครื่องยนต์ในทะเลหรือจากการทดลองทางวิทยาศาสตร์ เมื่อมีการสำรวจพบในปี พ.ศ.2509 ว่า จำนวนประชากรวาฬกำลังร่อยหรอคือเหลือเพียง 12,000 ตัว เท่านั้นเองวาฬ ก็ได้รับการประกาศว่า วาฬเป็นสัตว์ที่โลกควรอนุรักษ์ตั้งแต่นั้นมา
ในวารสาร Proceedings of the National Academy of Sciences ฉบับเดือนมีนาคม พ.ศ.2541 H. Caswell แห่ง Woods Hole Oceanographic Institution ในสหรัฐอเมริกาได้รายงานการสำรวจวาฬ right whale ในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือว่า หากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงวาฬนี้จะสูญพันธุ์ในอีก 200 ปีข้างหน้า เขาได้ข้อมูลนี้จากการเริ่มถ่ายภาพวาฬพันธุ์ right whale ตั้งแต่ปี พ.ศ.2523 และได้คำนวณพบว่า อัตราการอยู่รอดของวาฬพันธุ์นี้ได้ลดน้อยลงในทุกปี โดยในปี พ.ศ.2523 นั้น เขาได้พบว่า จำนวนประชากรของวาฬได้เพิ่มขึ้น 5.3% แต่หลังจากนั้นจำนวนก็ได้ลดลง 2.4% ทุกปี และเขาได้พบสาเหตุสำคัญทำให้โลกต้องสูญเสียวาฬมากที่สุดว่า เกิดจากการที่วาฬถูกเรือชน และเมื่ออัตราการเกิดลด เพราะวาฬผสมพันธุ์กันในตระกูลเดียวกัน และมลภาวะของทะเลมีมากขึ้นทุกวัน จำนวนวาฬจึงได้ลดลงทุกปี
Caswell ได้เสนอแนะให้รัฐบาลสหรัฐฯ ออกกฎหมายแก้ไขสาเหตุเหล่านี้ ซึ่งรัฐบาลสหรัฐฯ ก็เห็นด้วย โดยได้ออกกฎหมายบังคับให้เรือทุกลำที่จะแล่นเข้าน่านน้ำ New England และ Florida ติดต่อยามฝั่งขอข้อมูลตำแหน่งวาฬครั้งล่าสุดอีกด้วย...
คำสำคัญ
ธรรมชาติ,วาฬ
ประเภท
Text
ลิขสิทธิ์
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.)
ผู้แต่ง หรือ เจ้าของผลงาน
My Firsbrain
วิชา
ชีววิทยา
ระดับชั้น
ม.4, ม.5, ม.6
กลุ่มเป้าหมาย
ครู, นักเรียน, บุคคลทั่วไป
-
2206 ธรรมชาติของ "วาฬ" /article-biology/item/2206-whale616เพิ่มในรายการโปรด