พลังของการร้องไห้
น้ำตาจระเข้ เป็นวลีที่ถูกยกขึ้นมาเพื่อเปรียบเทียบการเสแสร้งแกล้งทำ ด้วยการร้องไห้ออกมาเพื่อแสดงให้คนอื่นเห็นว่าตนเองเสียใจ แต่ความจริงแล้ว น้ำตาที่เห็นเป็นเพียงการกลบเกลื่อนความผิดที่ตัวเองได้กระทำต่อผู้อื่น เช่นเดียวกับจระเข้ที่น้ำตาไหล ด้วยในเวลาที่มันงับเหยื่อกระดูกขากรรไกรของมันกดทับต่อมน้ำตา ไม่ใช่ความโศกเศร้าด้วยสงสารเหยื่อแต่อย่างใด
มนุษย์ไม่เป็นเช่นจระเข้ มนุษย์ร้องไห้ได้ด้วยทั้งความเศร้า ความสุข ความยินดี เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น
ภาพที่ 1 ร้องไห้
ที่มา https://pixabay.com ,tobbo
ประเภทของน้ำตา
น้ำตามีอยู่ด้วยกัน 3 ประเภท ได้แก่
-
น้ำตาหล่อเลี้ยงลูกตา (basal tears) เป็นน้ำตาที่ช่วยหล่อลื่น บำรุง ทำความสะอาดและปกป้องดวงตา
-
น้ำตาที่หลั่งออกมาเมื่อมีสิ่งระคายเคือง (reflex tears) เป็นน้ำตาที่ร่างกายผลิตขึ้นเมื่อมีอาการระคายเคืองที่เกิดจากปัจจัยทางกายภาพต่าง ๆ เช่น อนุภาคฝุ่น ฝุ่นละออง ควัน หรือแม้กระทั่งขนตาที่หลุดเข้าตา ซึ่งน้ำตาเหล่านี้ไม่ได้เพียงแต่ช่วยชะล้างสิ่งที่ทำให้เกิดการระคายเคืองเท่านั้น แต่ยังมีแอนติบอดี (antibody) หรือสารภูมิต้านทานที่ช่วยทำลายเชื้อโรคที่อาจปนเปื้อนในดวงตาด้วย
-
น้ำตาจากอารมณ์ (emotional tears) เป็นน้ำตาที่ถูกกระตุ้นโดยความรู้สึกที่แตกต่างกันทั้งในด้านบวก (ความสุขและความตื่นเต้น) และด้านลบ (ความโศกเศร้า ความโกรธ หรือความกลัว)
แม้ว่าผู้เชี่ยวชาญจะยังไม่แน่ใจว่า เหตุใดมนุษย์ถึงพัฒนาการทางอารมณ์ผ่านน้ำตา แต่ก็ยังมีบางทฤษฎีที่สามารถอธิบายได้คือ น้ำตาแห่งอารมณ์เป็นรูปแบบหนึ่งของการสื่อสารที่ไม่ใช้คำพูด เช่น เด็กทารกที่ยังไม่สามารถพูดได้จะร้องไห้เพื่อแสดงความหิวโหยหรือความเหงา ซึ่งการร้องไห้ของเด็กนั้นจะก่อให้เกิดปฏิกิริยาการตอบสนองของพ่อหรือแม่ในทันที หรือในวัยผู้ใหญ่ การร้องไห้อาจเป็นวิธีที่ใช้แสดงความรู้สึกอ่อนแอหรือความปิติยินดีอย่างเปิดเผย เพื่อสร้างความสัมพันธ์กับเพื่อน ครอบครัว และคนรู้จัก หรือในบางครั้งก่อให้เกิดความเห็นอกเห็นใจจากคนรอบข้างได้ด้วย ในขณะเดียวกัน ความจริงแล้วน้ำตาเป็นสัญญาณทางสังคมที่ทรงพลังที่แม้แต่สัตว์เลี้ยง ก็ยังรู้วิธีที่จะตอบสนองทันทีเมื่อเจ้าของเริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้น หรืออาจช่วยอธิบายได้ดียิ่งขึ้นคือ การร้องไห้เป็นการขับสารเคมีที่สร้างขึ้นในช่วงที่รู้สึกเจ็บปวด หรือการร้องไห้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีในร่างกายที่ช่วยลดความเครียดหรือเพิ่มความรู้สึกในเชิงบวก
การร้องไห้เป็นสิ่งที่ดีหรือไม่?
การศึกษาถึงสาเหตุและสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเกิดการร้องไห้ ส่วนใหญ่แล้วเป็นการศึกษาที่มีพื้นฐานมาจากการเก็บข้อมูลโดยวิธีการรายงานด้วยตัวผู้ให้ข้อมูลเอง (self-reporting) ซึ่งได้แนวคิดที่แพร่หลายที่สุดเกี่ยวกับการร้องไห้ คือ การร้องไห้มีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์ทางใดทางหนึ่ง เช่น เพื่อช่วยบรรเทาหรือปลดปล่อยอารมณ์ที่รุนแรงให้สงบลง อย่างไรก็ดีงานวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้มีความหลากหลาย บางการศึกษาก็แสดงให้เห็นว่า การร้องได้ช่วยให้อารมณ์ดีขึ้นและในบางครั้งก็แย่ลง
การศึกษาพบว่า ยิ่งนานวันนับตั้งแต่การร้องไห้ครั้งสุดท้าย ยิ่งมีแนวโน้มที่ผู้ที่มีน้ำตาจะพิจารณเห็นว่า การร้องไห้เป็นประโยชน์ แต่หากการร้องไห้ที่เกิดขึ้นไม่นานมานี้ มีโอกาสน้อยมากที่ผู้คนจะรายงานถึงความรู้สึกที่ดีขึ้นหลังจากประสบการณ์ร้องไห้ล่าสุด ขณะเดียวกันอาจมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นที่จะได้รับรายงานว่า พวกเขาจะรู้สึกแย่หลังจากการร้องไห้ครั้งนั้น ในทางกลับกันผู้คนดูเหมือนจะร้องไห้เพื่อทำให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น ซึ่งนั่นอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้มีภาพยนตร์แนวกระตุกต่อมน้ำตา (tearjerkers) ซึ่งเป็นเหตุผลที่ชี้ให้เห็นว่า การร้องไห้ช่วยในการผ่อนคลายตัวเอง
แม้การร้องไห้จะมีประโยชน์ในระดับบุคคล แต่การศึกษาส่วนใหญ่ชี้ให้เห็นว่า การร้องไห้เป็นปรากฏการณ์ทางสังคม(social phenomenon) มากกว่า เนื่องจากการร้องไห้เป็นสัญญาณที่มีประสิทธิภาพอย่างยิ่งต่อผู้อื่น ช่วยแสดงให้ผู้อื่นเห็นถึงบางสิ่งบางอย่างที่ผิดปกติที่อาจต้องการความช่วยเหลือหรือการปลอบใจ ทั้งนี้การทดลองและการสำรวจ โดยการแสดงภาพของใบหน้าที่ร้องไห้เปรียบเทียบกับใบหน้าที่ไม่มีน้ำตา ซึ่งผลการทดลองพบว่า ไม่เพียงทำให้ใบหน้าดูเศร้า แต่ยังทำให้เกิดความโศกเศร้ามากขึ้นในผู้สังเกตการณ์ด้วย นอกจากนี้ยังทำให้เกิดการสนับสนุนทางอารมณ์มากขึ้นเช่น การเห็นอกเห็นใจ ความเอาใจใส่ การหลบหลีกน้อยลง รวมถึงมีพฤติกรรมการช่วยเหลือโดยรวมเพิ่มมากขึ้นด้วย
การร้องไห้ช่วยจริงได้หรือไม่นั้น ก็เป็นส่วนหนึ่งของการตัดสินส่วนตัวเช่นกัน บางคนบอกว่าการร้องไห้ทำให้พวกเขารู้สึกแย่กว่าหากเทียบกับการไม่ต้องไม่เสียน้ำตา ในขณะที่บุคคลอื่นอาจร้องไห้เพราะพวกเขาเชื่อว่ามันเป็นประโยชน์และช่วยระบายความรู้สึก อย่างไรก็ดีก่อนที่คุณจะร้องไห้ต่อหน้าผู้อื่น ด้วยอยากได้รับการสนับสนุนเพียงเพราะจดจำข้อมูลการศึกษาต่าง ๆ เหล่านี้และใช้มันให้เกิดประโยชน์ในทางลบ นั่นอาจนำไปสู่ความรู้สึกอับอายขายหน้าได้
แหล่งที่มา
Rosie McCall. (2019, 5 February). Why Do We Cry?. Retrieved February 15, 2019, from https://www.iflscience.com/plants-and-animals/why-do-we-cry/
Leah Sharman. (2018, 23 November). No, crying doesn’t release toxins, though it might make you feel better… if that’s what you believe. Retrieved February 15, 2019, from https://theconversation.com/no-crying-doesnt-release-toxins-though-it-might-make-you-feel-better-if-thats-what-you-believe-106860
Laura Geggel. (2016, 10 May). Why Do People Cry? Retrieved February 15, 2019, from https://www.livescience.com/32476-why-do-we-cry.html
-
9813 พลังของการร้องไห้ /article-biology/item/9813-2019-02-21-07-56-33เพิ่มในรายการโปรด