เคมีเข้ากันได้มีที่มาจากอะไร
“เคมีเข้ากันได้” “เคมีตรงกัน” หรือ “เคมีไม่ตรงกัน” ที่เป็นวลีฮิตติดหูและติดปาก ทั้งที่เคยได้ยินอยู่บ่อยครั้ง หรือพูดกันบ่อยจนติดปาก หมายถึงอะไรนะ และเกี่ยวข้องกันกับสารเคมีจริงหรือไม่ อย่างไร? วันนี้เรามาคลายข้อสงสัยนี้กัน จากข้อมูลที่คุณหมอแห่งสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นได้กล่าวไว้กัน
ภาพที่ 1 เคมีเข้ากันของคู่รัก
ที่มา https://pixabay.com/ ,TakMeoMeo
จากข้อมูลของ รศ.นพ.สุรเกียรติ อาซานานุภาพ อดีตอาจารย์ภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี อธิบายไว้ในเว็บไซต์มูลนิธิหมอชาวบ้านว่า วงการแพทย์ทราบกันดีมานานแล้วว่า ออกซิโทซิน (oxytocin) เป็นสารเคมีหรือฮอร์โมนที่หลั่งมาจากต่อมใต้สมองส่วนหลัง ซึ่งมีประโยชน์ต่อความเป็นแม่และการเลี้ยงดูลูก กล่าวคือ ในขณะคลอดลูก สารตัวนี้จะหลั่งออกมากระตุ้นให้มดลูกบีบตัว ช่วยให้แม่มีแรงเบ่งคลอด และขณะให้นมลูก สารตัวนี้ก็จะกระตุ้นให้แม่หลั่งน้ำนมให้เพียงพอต่อการให้นมลูก ปัจจุบันมีการศึกษาพบว่า ออกซิโทซิน เป็นสารสื่อประสาทชนิดหนึ่งที่มีอิทธิพลต่อการทำงานของสมองและสุขภาพ ทำให้จิตใจสงบ คลายเครียด กระตุ้นอารมณ์ทางเพศ ช่วยให้นอนหลับ ช่วยให้แผลหายเร็ว ช่วยลดอาการปวด ส่งเสริมให้มีจิตเมตตากรุณา เห็นอกเห็นใจและช่วยเหลือผู้อื่น และยังเป็นสารสุขที่หลั่งออกมาพร้อมกับเอ็นดอร์ฟิน (Endorphin) ซึ่งเป็นสารสุขที่รู้จักกันดีขณะออกกำลังกายอีกด้วย ที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือ ออกซิโทซินยังได้ชื่อว่าเป็น ฮอร์โมนแห่งความรัก (love hormone), ฮอร์โมนแห่งการกอดรัด (cuddie hormone) และ ฮอร์โมนแห่งความเชื่อใจ (trust hormone) เพราะส่งเสริมให้เกิดความรัก ความผูกพัน และความไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกัน ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันว่า ความรักที่มีลักษณะเห็นหน้าปั๊บก็รู้สึกถูกใจ ดังที่เรียกว่า "รักแรกพบ (love at first sight)" นั้น ร่างกายมีการหลั่งสารเคมี 3 ชนิด ได้แก่ โดพามีน นอร์เอทิเนฟรีน และออกซิโทซิน
โดพามีน ทำให้มีความสุขสดชื่น นอร์เอพิเนฟรีนทำให้มีใจจดจ่อกระฉับกระเฉง อยากไปพบคนที่ถูกใจนั้นอยู่ตลอดเวลา ส่วนออกซิโทซินทำให้เกิดความรู้สึกรักและผูกพัน (สารเหล่านี้จะหลั่งอยู่นานเป็นเดือนถึงเป็นปี ก็จะพร่องไป และก็จะไปเกิด "รักแรกพบ" กับคนใหม่ สิ่งนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัยคนเราจึงต้องมีสติ รู้จักสำรวมไม่ปล่อยให้อยู่ภายใต้การครอบงำของสารเคมีเหล่านี้ จึงจะไม่เกิดเรื่องให้เสื่อมเสีย)
ภาพที่ 2 ฮอร์โมนความสุขระหว่างแม่ลูก
ที่มา https://pixabay.com/ ,VaniaRapaso
ในต่างประเทศมีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งมีผลการค้นพบที่น่าสนใจมากมาย อาทิผู้หญิงมีฮอร์โมนออกซิโทซินมากกว่าผู้ชาย จึงมีความรักและผูกพันกับผู้คน นิยมการโอบกอดและแสดงออกถึงความรักและห่วงใยลูกและครอบครัวมากกว่าผู้ชาย ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ กลุ่มที่มีระดับออกซิโทซินสูงตลอดระยะของการตั้งครรภ์ หลังคลอดจะมีความรักและผูกพันกับลูกที่เกิดมามากกว่ากลุ่มที่มีสารตัวนี้น้อยกว่า มีการทดลองนำหนูตัวเมียที่เพิ่งคลอดลูกกลุ่มหนึ่ง มาให้ยายับยั้งออกซิโทซิน ปรากฏว่าแม่หนูกลุ่มนี้ไม่สนใจลูกที่เกิดมา ตรงกันข้าม เมื่อนำแกะสาว (ที่ยังไม่เคยผสมพันธุ์) กลุ่มหนึ่งมาฉีดออกซิโทซินเข้าทางน้ำไขสันหลัง แกะสาวเหล่านี้หันมาสนใจเลี้ยงดูลูกแกะที่เกิดจากแม่แกะตัวอื่นประหนึ่งตัวเองเป็นแม่จริง ขณะเดียวกันมีหนูนา (prairie vole) สายพันธุ์หนึ่งที่มีออกซิโทซินสูงจะจับคู่ผสมพันธุ์คู่เดิม (มีความเป็น "รักเดียวใจเดียว") ไปจนชั่วชีวิต ในขณะที่สายพันธุ์อื่น ๆ ที่พร่องฮอร์โมนตัวนี้จะเปลี่ยนคู่ไปเรื่อย แต่เมื่อนำสายพันธุ์ "รักเดียวใจเดียว" ที่เคยผสมพันธุ์กันแล้วมาให้ยายับยั้งการหลั่งออกซิโทซิน มันก็จะเลิกสนใจกันไป และเมื่อนำสายพันธุ์ที่ชอบเปลี่ยนคู่มาทำให้มีฮอร์โมนตัวนี้เพิ่มขึ้น มันก็เริ่มหันมาผูกพันกับคู่เดิม
ซึ่งออกซิโทซิน นอกจากจะหลั่งขณะมีเพศสัมพันธ์ ขณะคลอด และให้นมลูกแล้ว มันยังหลั่งขณะออกกำลังกาย เล่นโยคะ การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น (เช่น ในวงสนทนาหรือวงอาหาร การเข้าร่วมกิจกรรมในกลุ่มหรือชมรม การมีความเชื่อใจ การสบตาการเลี้ยงสุนัข)
นอกจากนี้ มีการทดลองให้ผู้ชายกลุ่มหนึ่งสูดออกซิโทซินเข้าทางจมูก และให้เจอกับสาวสวย ปรากฏว่าชายที่แต่งงานและมีรักเดียวใจเดียว จะนำตัวเองให้อยู่ห่างจากสาวสวยมากกว่าชายที่ยังเป็นโสด แสดงว่าฮอร์โมนตัวนี้น่าจะส่งเสริมให้คู่ชีวิตมีความซื่อสัตย์ต่อกัน ขณะที่การสังเกตจากการเลี้ยงสุนัข พบว่าทั้งคนเลี้ยงและสุนัขมีระดับออกซิโทซินในเลือดสูงขึ้นกว่าเดิม แสดงว่าฮอร์โมนตัวนี้มีส่วนส่งเสริมความผูกพันระหว่างคนกับสุนัข ที่น่าสนใจ คือ ฮอร์โมนนี้ยังหลั่งเมื่อมีการสัมผัสกัน เช่น การจับมือ การโอบกอด การนวดได้เช่นกัน
นพ.สุรเกียรติ ยังได้กล่าวอีกว่า “ผมเคยพบว่าคนไข้อัมพาตรายหนึ่งที่มีหมอนวดไทยมาช่วยนวดและประคบให้นานเป็นสัปดาห์ มีความผูกพันและไว้วางใจหมอถึงกับระบายความในใจที่ถูกภรรยาทิ้ง บางครั้งมีอารมณ์ดีก็ร้องเพลงให้หมอฟัง ผมคิดว่านอกจากความสัมพันธ์ที่ต่อเนื่องแล้ว การนวดน่าจะกระตุ้นให้คนไข้หลั่งออกซิโทซินให้เกิดความผูกพันและความเชื่อใจ ซึ่งนักกายภาพบำบัดเป็นหมออีกกลุ่มหนึ่งที่มีการสัมผัสคนไข้อย่างต่อเนื่อง ขณะนี้มีหมอสาขานี้จำนวนมากลงไปดูแลคนพิการที่บ้านตามชุมชนต่าง ๆ ทั่วประเทศผมพบว่าทั้งหมอและคนไข้ต่างก็มีความผูกพันและเกื้อกูลกัน และหมอก็รู้สึกมีคุณค่าและมีความสุข ผมคิดว่าอันนี้ก็น่าจะเกิดจากอานิสงส์ของออกซิโทซินเช่นเดียวกัน”
ภาพที่ 3 ฮอร์โมนความสุขผ่อนคลายจากการบีบนวด
ที่มา https://pixabay.com/ ,guvo59
เช่นเดียวกันกับคำกล่าวของ นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข อธิบายว่า ระดับความสัมพันธ์ของความรัก สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ช่วง ซึ่งล้วนแล้วเกี่ยวกับเคมีในร่างกายทั้งสิ้น โดยในระดับแรกคือระดับ “ดึงดูด” คุณหมอกล่าวต่ออีกว่า “คำว่าเคมีตรงกันมันอาจจะเป็นคำอธิบายที่ดี ของความรู้สึกที่เราไปชอบคนๆ หนึ่ง แต่เพื่อนที่มากับเรารู้สึกเฉยๆ หรือว่าทำไมผู้ชายคนหนึ่งเห็นผู้หญิงคนนี้แล้วถูกใจ รู้สึกชอบ แต่ผู้ชายอีกคนเมื่อมองผู้หญิงคนนี้ กลับไม่รู้สึกอะไร มีการวิจัยในสัตว์ว่า สัตว์มีฟีโรโมนที่ดึงดูดสัตว์เพศตรงข้ามให้สนใจได้ มนุษย์เองก็มี ซึ่งเมื่อเราพบคนที่เรารู้สึกดึงดูดแล้ว ร่างกายจะบอกเราทันที เพราะจะมีการหลั่งเคมีที่ชื่อว่าฮอร์โมน Dopamine และ Norepinephrine ซึ่งจะส่งผลต่อประสาทอัตโนมัติกระตุ้นให้ใจเต้นเร็ว” ในขั้นต่อมา หลังจากผ่านภาวะการดึงดูดซึ่งกันและกันแล้ว หากความสัมพันธ์พัฒนาต่อมาเป็น “ผูกพัน” โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาวัยรุ่นรายนี้ กล่าวว่า เมื่อหญิงชายที่รู้สึกดึงดูดกันและกัน ตกลงคบหาเรียนรู้ ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น ก็จะเกิดความรู้สึกผูกพัน โดยในระดับนี้ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนที่ชื่อว่า Oxytocin และ Vasopressin ซึ่งมีผลต่ออารมณ์ของคู่รัก ทำให้อยากทนุถนอมอีกฝ่าย และ“ระดับสุดท้ายคือ ระดับที่คู่รักเกิดความรู้สึกทางเพศ ซึ่งเกิดจาก Testosterone ในผู้ชาย และ Estrogen ในผู้หญิง อันนี้ที่น่าเป็นห่วง เพราะทุกวันนี้การสื่อสารเร็วกว่าเดิมมาก ความสัมพันธ์ระดับนี้อาจจะเกิดเร็วซึ่งน่ากังวล โดยเฉพาะที่เกิดขึ้นในเยาวชน โบราณเรามักจะสอนลูกหลานให้ศึกษาดูใจกันไปนาน ๆ หมั้นไว้ก่อน 2-3 ปี หรืออย่าชิงสุกก่อนห่าม อันนี้น่าสนใจ เพราะฮอร์โมน Vasopressin ที่เกิดในระดับความสัมพันธ์ที่ 2 นั้น เป็นฮอร์โมนที่มีเทอมของมัน ในระดับคู่รักมันจะหลั่งอยู่ประมาณ 2 ปี แล้วก็จะหายไป แล้วจะกลับมาอีกทีในช่วงที่แม่ให้นมลูก อันนั้นจะเป็นการหลั่งแบบระยะยาว”
ภาพที่ 4 หญิงชายที่รู้สึกดึงดูดกันและกัน
ที่มา https://pixabay.com/ ,Pexel
คุณหมอ นพ. ทวีศิลป์ ยังกล่าวทิ้งท้ายอีกว่า “ไม่อยากให้วลีนี้เป็นคำโก้ ๆ อยากให้เด็ก ๆ พูดแบบเข้าใจและรู้เท่าทัน เพราะถ้าไม่รู้เท่าทัน เคมีตรงกันอาจจะกลายเป็นเคมีอันตรายก็ได้ ผมอยากให้บทสัมภาษณ์นี้เป็นสื่อกลางทำความเข้าใจกับเยาวชน ให้เข้าใจว่า ที่เรามีอารมณ์ความรู้สึกระหว่างมีความรัก มันเป็นเรื่องของเคมีในร่างกาย เป็นเรื่องของฮอร์โมน ซึ่งหากวัยรุ่นเรียนรู้ เข้าใจ และรู้เท่าทันแล้ว ก็จะเกิดความระมัดระวัง และวางแผนการปฏิบัติตัวในความสัมพันธ์ได้”
แหล่งที่มา
เรื่องน่ารู้ของออกซิโทซิน...ฮอร์โมนแห่งความรัก-ผูกพัน. สืบค้นเมื่อ 4 เมษายน 2562. จาก http://health.kapook.com/view78315.html
-
10098 เคมีเข้ากันได้มีที่มาจากอะไร /article-chemistry/item/10098-2019-04-19-02-18-24เพิ่มในรายการโปรด