เส้นทางการขึ้นการตกของดวงอาทิตย์ กับการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิตบนโลก
เส้นทางการขึ้นการตกของดวงอาทิตย์กับการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิตบนโลก
Board Game เพื่อการศึกษาเป็นสื่อการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ สามารถสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ที่สนุกสนานและมีส่วนร่วมให้กับผู้เรียน ช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจเนื้อหาได้ดีขึ้น และส่งเสริมการพัฒนาทักษะ ในศตวรรษที่ 21 อย่างไรก็ตาม การออกแบบ Board Game เพื่อการศึกษาควรคำนึงถึงหัวข้อ กลไก ขั้นตอนการเล่น จุดจบ เงื่อนไขการ แพ้ชนะ และเนื้อหาที่ถูกต้องเพื่อให้ได้สื่อการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพและ ตรงกับความต้องการของครูและผู้เรียน
1.1 ตำแหน่งปรากฏของดวงอาทิตย์บนทรงกลมฟ้า
การที่โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ในลักษณะแกนโลกเอียงส่งผลให้ตำแหน่งปรากฏของดวงอาทิตย์บนทรงกลมฟ้า เปลี่ยนแปลงไปดังภาพ 1 และ 2 เมื่อโลกโคจรมายังตำแหน่งที่ 1 ประมาณวันที่ 21 มีนาคม ตำแหน่งปรากฏของดวงอาทิตย์ จะอยู่บนเส้นศูนย์สูตรฟ้าพอดี เรียกจุดดังกล่าวว่าจุดวสันตวิษุวัต (Vernal Equinox) เมื่อเวลาผ่านไปโลกโคจรมายังตำแหน่งที่ 2 ประมาณวันที่ 21 มิถุนายน ตำแหน่งปรากฏของดวงอาทิตย์จะอยู่ในตำแหน่งที่ห่างจากเส้นศูนย์สูตรฟ้าขึ้นไปทางขั้วฟ้าเหนือมากที่สุด
เรียกจุดดังกล่าวว่า จุดครีษมายัน (Summer Solstice) และเมื่อดวงอาทิตย์เปลี่ยนตำแหน่งมาอยู่ในตำแหน่งที่ 3 ประมาณวันที่ 22 กันยายน ตำแหน่งปรากฏของดวงอาทิตย์จะเคลื่อนที่มาอยู่บนเส้นศูนย์สูตรฟ้าอีกครั้ง เรียกจุดดังกล่าวว่า จุดศารทวิษุวัต (Autumnal Equinox) จนกระทั่งเมื่อดวงอาทิตย์เปลี่ยนตำแหน่งมาอยู่ในตำแหน่งที่ 4 ประมาณวันที่ 21 ธันวาคม เป็นตำแหน่งที่ ดวงอาทิตย์อยู่ห่างจากเส้นศูนย์สูตรฟ้าไปทางขั้วฟ้าใต้มากที่สุด เรียกว่าจุดเหมายัน (Winter Solstice) เมื่อเราลากเส้นเชื่อมต่อจุดสำคัญทั้ง 4 จุดนี้จะเกิดเส้นวงกลมใหญ่ที่เรียกว่า เส้นสุริยวิถี โดยตำแหน่งปรากฏของดวงอาทิตย์จะเปลี่ยนแปลงไปตามเส้นสุริยวิถี ซึ่งส่งผลต่อเส้นทางการขึ้นการตกของดวงอาทิตย์
ภาพ 1 แสดงตำแหน่งในวงโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์
ภาพ 2 แสดงตำแหน่งปรากฏของดวงอาทิตย์บนทรงกลมฟ้า
1.2 เส้นทางการขึ้นการตกของดวงอาทิตย์
หากเราลองถ่ายภาพตำแหน่งการขึ้นหรือตกของดวงอาทิตย์ที่ตำแหน่งเดิมในทุกๆ เดือน เราจะเห็นว่าตำแหน่งการขึ้นและตกของดวงอาทิตย์ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งเดิมทุกวัน จากภาพ 3 แสดงตำแหน่งของดวงอาทิตย์ขณะที่อยู่ขอบฟ้าด้านตะวันตกในเดือนต่างๆ จะเห็นว่าตำแหน่งการตกของดวงอาทิตย์จะเปลี่ยนแปลงไปเนื่องจากการเปลี่ยนตำแหน่งของดวงอาทิตย์บนทรงกลมฟ้า โดยเมื่อดวงอาทิตย์อยู่ที่จุดวสันตวิษุวัต (ประมาณวันที่ 21 มีนาคม) คนบนโลกจะเห็นดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออกและตกทางทิศตะวันตกพอดี และเป็นวันที่มีช่วงเวลากลางวันยาวนานเท่ากับกลางคืน เมื่อดวงอาทิตย์เปลี่ยนตำแหน่งมาอยู่ที่จุดครีษมายัน (ประมาณวันที่ 21 มิถุนายน) คนบนโลกจะเห็นดวงอาทิตย์ขึ้นทางตะวันออกเฉียงไปทางเหนือ และตกทางตะวันตกเฉียงไปทางเหนือ ในวันดังกล่าวจะเป็นวันเริ่มต้นเข้าสู่ฤดูร้อนสำหรับผู้สังเกตที่อยู่บริเวณซีกโลกเหนือ ซึ่งจะเป็นวันที่มีกลางวันยาวนานที่สุดในรอบปี เมื่อดวงอาทิตย์เปลี่ยนตำแหน่งมาอยู่ที่จุดศารทวิษุวัต (ประมาณวันที่ 22 กันยายน) คนบนโลกจะเห็นดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออกและตกทางทิศตะวันตกพอดี และมีช่วงเวลากลางวันยาวนานเท่ากับกลางคืนเช่นเดียวกับจุดวสันตวิษุวัต เป็นวันเริ่มต้นเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง และเมื่อดวงอาทิตย์เปลี่ยนตำแหน่งมาอยู่ที่จุดเหมายัน (ประมาณวันที่ 21 ธันวาคม) คนบนโลกจะเห็นดวงอาทิตย์ขึ้นทางตะวันออกเฉียงไปทางใต้ และตกทางตะวันตกเฉียงไปทางใต้ ซึ่งเป็นวันเริ่มต้นเข้าสู่ฤดูหนาวสำหรับผู้สังเกตที่อยู่ทางซีกโลกเหนือ วันดังกล่าวจะมีช่วงเวลากลางวันสั้นที่สุดในรอบปี

ภาพ 3 ตำแหน่งดวงอาทิตย์ที่ขอบฟ้าด้านตะวันตกในเดือนต่างๆ
นอกจากตำแหน่งปรากฏของดวงอาทิตย์จะส่งผลต่อเส้นทางการขึ้นการตกของดวงอาทิตย์แล้ว ตำแหน่งละติจูดของผู้สังเกตก็มีผลต่อการเห็นเส้นทางการขึ้นการตกของดวงอาทิตย์เช่นเดียวกัน โดยผู้สังเกตที่อยู่บริเวณศูนย์สูตรจะเห็นเส้นทางการขึ้นการตกของดวงอาทิตย์ตั้งฉากกับขอบฟ้า ดังภาพ 4ก ผู้สังเกตที่อยู่ทางซีกโลกเหนือจะเห็นเส้นทางการขึ้นการตกของดวงอาทิตย์เฉียงไปทางใต้ ดังภาพ 4ข และผู้สังเกตที่อยู่ทางซีกโลกใต้จะเห็นเส้นทางการขึ้นการตกของดวงอาทิตย์เฉียงไปทางเหนือ ดังภาพ 4ค นอกจากนี้ การที่เส้นทางการขึ้นการตกของดวงอาทิตย์ในแต่ละวันมีความยาวแตกต่างกัน ส่งผลต่อความยาวนานของกลางวัน กลางคืน และปริมาณพลังงานแสงอาทิตย์ที่โลกได้รับในแต่ละวัน

ภาพ 4 เส้นทางการขึ้นการตกของดวงอาทิตย์ที่ตำแหน่งละติจูดแตกต่างกัน
สำหรับบริเวณประเทศไทยที่ตำแหน่งของกรุงเทพมหานครฯ ซึ่งมีละติจูดประมาณ 15°N ผู้สังเกตจะเห็นเส้นทางการขึ้น การตกของดวงอาทิตย์เอียงไปทางทิศใต้ โดยในวันวสันตวิษุวัต (ประมาณวันที่ 21 มีนาคม) เส้นทางการขึ้นการตกของดวงอาทิตย์ จะเอียงไปทางทิศใต้ห่างจากจุดเหนือศีรษะประมาณ 15 องศา (ตามตำแหน่งละติจูดของผู้สังเกต) จากนั้นเส้นทางการขึ้นการตก ของดวงอาทิตย์จะค่อยๆ ขยับขึ้นมาทางทิศเหนือจนกระทั่งประมาณวันที่ 21 มิถุนายน ซึ่งตรงกับวันครีษมายัน ดวงอาทิตย์จะปรากฏ อยู่ทางเหนือมากที่สุด และเป็นวันที่มีกลางวันยาวนานที่สุดในรอบปี จากนั้นเส้นทางการขึ้นการตกของดวงอาทิตย์จะค่อยๆ ขยับไป ทางใต้จนกระทั่งประมาณวันที่ 22 กันยายน ซึ่งตรงกับวันศารทวิษุวัต ดวงอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันออกและตกทางทิศตะวันตกพอดี และเส้นทางการขึ้นการตกของดวงอาทิตย์จะขยับไปทางทิศใต้ มากที่สุดประมาณวันที่ 21 ธันวาคม ซึ่งวันดังกล่าวจะเป็นวันที่มี กลางวันสั้นที่สุดในรอบปี ดังภาพ
1.3 ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนตำแหน่งของดวงอาทิตย์
การเปลี่ยนตำแหน่งของดวงอาทิตย์ส่งผลให้เกิด ปรากฏการณ์ต่างๆ บนโลก ตัวอย่างปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับ การเปลี่ยนตำแหน่งของดวงอาทิตย์ เช่น ปรากฏการณ์ตะวันอ้อมข้าว เกิดจากการที่ดวงอาทิตย์ ปรากฏบนจุดเหมายันบนทรงกลมฟ้า จะอยู่ในช่วงประมาณวันที่ 21 - 22 ธันวาคม ผู้สังเกตที่ประเทศไทยจะเห็นเส้นทางการขึ้น การตกของดวงอาทิตย์เฉียงไปทางทิศใต้มากที่สุด โดยไม่ได้ผ่าน จุดเหนือศีรษะของผู้สังเกต และช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงเวลาที่ต้นข้าวออกรวง จึงเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “ตะวันอ้อมข้าว” นอกจากนี้ ในวันดังกล่าวดวงอาทิตย์จะมีเส้นทางการขึ้น การตกสั้นที่สุด ส่งผลให้วันดังกล่าวมีช่วงเวลากลางวันสั้นที่สุดในรอบปี
ภาพ 5 แสดงเส้นทางการขึ้นการตกของดวงอาทิตย์บริเวณ ประเทศไทย (ละติจูดประมาณ 15 องศาเหนือ)
ปรากฏการณ์พระอาทิตย์เที่ยงคืน เกิดในช่วงที่ดวงอาทิตย์เคลื่อนที่มาอยู่ที่ตำแหน่งครีษมายันบนทรงกลมฟ้า ซึ่งเป็นช่วงฤดูร้อน (สำหรับผู้สังเกตบริเวณซีกโลกเหนือ) ส่งผลให้ช่วงเวลาดังกล่าวผู้สังเกตจะไม่เห็นดวงอาทิตย์ตกลับขอบฟ้า หรือมี กลางวันตลอด 24 ชั่วโมง แต่ปรากฏการณ์พระอาทิตย์เที่ยงคืนไม่ได้เกิดในทุกตำแหน่งบนโลก จะเกิดเฉพาะบริเวณประเทศที่อยู่ตำแหน่งละติจูด 66.5 องศาเหนือขึ้นไป เช่น ประเทศนอร์เวย์ สวีเดน ฟินแลนด์ รัสเซีย กรีนแลนด์ ไอซ์แลนด์
ปรากฏการณ์ Zero Shadow Day เป็นปรากฏการณ์ที่ดวงอาทิตย์ปรากฏตรงตำแหน่งจุดเหนือศีรษะของผู้สังเกตพอดี ส่งผลให้ช่วงเวลาดังกล่าวเกิดเงาที่สั้นที่สุด จะเกิดในวันที่ตำแหน่งปรากฏของดวงอาทิตย์บนทรงกลมฟ้ามีค่าเดคลิเนชันตรงกับ ตำแหน่งละติจูดของผู้สังเกตบนโลก โดยปรากฏการณ์ดังกล่าวจะเกิดขึ้นปีละ 2 ครั้ง ซึ่งช่วงวันและเวลาในการเกิดจะแตกต่างกัน ตามตำแหน่งละติจูดของผู้สังเกต
1.4 การใช้ประโยชน์จากการเปลี่ยนตำแหน่งของดวงอาทิตย์
การที่เส้นทางการขึ้น การตกของดวงอาทิตย์ เปลี่ยนแปลงไปทุกวัน ส่งผลต่อการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิตบนโลก ดังนั้น การศึกษาการเปลี่ยนตำแหน่งของดวงอาทิตย์สามารถ นำมาใช้ในหลายด้าน เช่น
การบอกเวลา ในแต่ละวันจะสังเกตเห็นตำแหน่งปรากฏ ของดวงอาทิตย์เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ในอดีตมนุษย์ศึกษา การเปลี่ยนตำแหน่งของดวงอาทิตย์และนำมาช่วยในการบอก เวลาบนโลก โดยช่วงเวลาระหว่างการสังเกตเห็นดวงอาทิตย์ เคลื่อนที่ผ่านเมริเดียนท้องถิ่นครั้งแรกถึงครั้งถัดไป เรียกว่า 1 วัน สุริยคติปรากฏ (Apparent Solar Day) โดยจะใช้นาฬิกาแดด ช่วยในการสังเกตตำแหน่งของดวงอาทิตย์ แต่เนื่องจากเวลา 1 วัน สุริยคติปรากฏยาวไม่คงที่ จึงไม่สามารถใช้เป็นมาตรฐานในการบอกเวลาได้ ดังนั้น จึงต้องหาวิธีการอื่นในการบอกเวลา
ภาพ 6 แสดงเงาที่ปรากฏขณะเกิดปรากฏการณ์ Zero Shadow Day ภาพถ่ายโดย นายณัฐพงศ์ วงศ์ชัย
การวางผังการก่อสร้างสถาปัตยกรรมในอดีต การสังเกตการเปลี่ยนตำแหน่งของดวงอาทิตย์และดวงดาวถูกนำมาช่วย ในการวางตำแหน่งของสถาปัตยกรรมตั้งแต่ในอดีต เช่น การออกแบบสโตนเฮนจ์ ซึ่งประกอบด้วยเสาหินจำนวนมากปักเรียงรายเป็นวงกลม และมีหินเอนวางอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ในวันครีษมายัน หากมายืนที่กึ่งกลางของวงกลมนี้และมองไปยังหินเอน จะเห็นดวงอาทิตย์ปรากฏขึ้นเหนือขอบฟ้าทางตะวันออกตรงกับตำแหน่งของหินเอนพอดี ส่วนในวันเหมายัน ดวงอาทิตย์จะตกลับขอบฟ้าทางตะวันตกในฝั่งตรงข้ามของหินเอน ผ่านจุดศูนย์กลางของเสาหิน
ภาพ 7 แสดงการวางตำแหน่งเสาหินบริเวณสโตนเฮนจ์
ที่มา: http://www.ancient-wisdom.com/englandstonehenge.htm
ภาพ 8 แสดงตำแหน่งดวงอาทิตย์กำลังขึ้นทางทิศตะวันออก บริเวณเสาหินสโตนเฮนจ์
ที่มา: https://pixabay.com/photos/sunrise-stonehenge-mystical-england- 3901312/
วิหารแพนธีออน (Pantheon) ตั้งอยู่ในกรุงโรม ประเทศอิตาลี เป็นผลงานทางสถาปัตยกรรมที่โดดเด่น แสดงถึง ความสามารถทางวิศวกรรมของคนสมัยนั้น เป็นวิหารทรงกระบอกเส้นผ่านศูนย์กลาง 43.3 เมตร หลังคามีลักษณะเป็นโดมโค้งมนครึ่งทรงกลม ตรงกลางมีช่องวงกลมขนาดใหญ่ เส้นผ่านศูนย์กลาง 8.3 เมตร ให้แสงอาทิตย์ส่องผ่านเข้ามาได้ เรียกช่องนี้ว่า “โอคูลุส” (Oculus) โดยในแต่ละเดือนแสงอาทิตย์ที่ส่องผ่านช่องวงกลมเข้ามาในวิหารจะเปลี่ยนตำแหน่งไป ในช่วงวันศารทวิษุวัต ตำแหน่งของแสงอาทิตย์จะส่องมายังขอบของโดมพอดี จากนั้นตำแหน่งของแสงอาทิตย์จะขยับขึ้นไปตามส่วนโค้งของโดม จนกระทั่งในวันเหมายัน ตำแหน่งของแสงอาทิตย์จะขยับไปที่จุดสูงสุดของโดมเหนือทางเข้า และตำแหน่งของแสงอาทิตย์จะค่อยๆ ส่องลงมายังส่วนล่างของโดม จนกระทั่งในวันที่ 21 เมษายน แสงอาทิตย์จะส่องลงมาที่พื้นของวิหารตรงกับบริเวณทางเข้าของวิหารพอดี หลังจากนั้นแสงอาทิตย์จะส่องลงบนพื้นวิหารโดยขยับเข้าใกล้ศูนย์กลางของวิหารมากที่สุดในวันครีษมายัน ดังภาพ 10
ภาพ 9 แสดงช่อง “โอคูลุส”ภายในวิหารแพนธีออน
ที่มา: https://pixabay.com/photos/pantheon-dome-rome-history-2469962/

ภาพ 10 แสดงตำแหน่งของแสงอาทิตย์ที่ส่องภายในวิหารแพนธีออน
ที่มา: https://www.architecturerevived.com/wp-content/uploads/2015/10/ pantheon-elevation-3.jpg
สำหรับในประเทศไทย ปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนตำแหน่งของดวงอาทิตย์ เช่น ปรากฏการณ์แสงอาทิตย์ลอดช่อง 15 ประตูของปราสาทพนมรุ้ง ตัวปราสาทวางตัวเบนออกจากแนวทิศตะวันออกไปทางเหนือประมาณ 5.5 องศา มีมุมทิศ 84.5 องศา ในแต่ละปีจะสังเกตเห็นแสงอาทิตย์ลอดผ่านช่องประตูของปราสาทปีละ 4 ครั้ง โดยสามารถสังเกตเห็นดวงอาทิตย์ขึ้นลอดผ่านช่องประตูทางด้านตะวันออกปีละ 2 ครั้ง (ประมาณวันที่ 3 – 5 เมษายน และ 8 – 10 กันยายน) และ ตำแหน่งของดวงอาทิตย์จะลอดผ่านช่องประตูของปราสาทอีกครั้ง ทางด้านตะวันตกอีก 2 ครั้ง (ประมาณวันที่ 5 – 7 มีนาคม และ 5 – 7 ตุลาคม) ของทุกปี หรือ ปรากฏการณ์แสงอาทิตย์ลอดช่องปราสาทประธานของปราสาทพิมาย ตัวปราสาทพิมายวางตัวห่างจาก แนวทิศตะวันออกเฉียงไปทางเหนือประมาณ 20.5 องศา มีมุมทิศ 69.5 องศา ในแต่ละปีจะเห็นแสงอาทิตย์ลอดผ่านช่องประตูที่ ปราสาทประธานปีละ 4 ครั้ง โดยสามารถสังเกตเห็นดวงอาทิตย์ ลอดผ่านช่องประตูของปราสาททางด้านตะวันออกปีละ 2 ครั้ง (ประมาณวันที่ 17 – 18 พฤษภาคม และ 22 – 23 กรกฎาคม) และ ตำแหน่งของดวงอาทิตย์ลอดผ่านช่องประตูที่ปราสาทประธาน ด้านตะวันตกอีก 2 ครั้ง (ประมาณวันที่ 22 – 23 มกราคม และ 20 – 21 พฤศจิกายน) ของทุกปี

ภาพ 11 แสดงดวงอาทิตย์กำลังตกลอดช่องประตูปราสาทประธาน ของปราสาทพิมาย ทางด้านทิศตะวันตก ในวันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566
การวางผังของห้องต่างๆ ภายในบ้าน
การวางผังบ้านถือเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างบ้าน การวางแผนการออกแบบตำแหน่งและทิศทางของตัวบ้านและห้อง ต่างๆ ในบ้านให้สอดคล้องกับตำแหน่งของดวงอาทิตย์จะช่วย ทำให้บ้านอยู่สบาย ลดการใช้พลังงานในบ้าน รวมถึงลดปริมาณ ความร้อนที่เกิดขึ้นในแต่ละห้อง เนื่องจากเส้นทางการขึ้น การตก ของดวงอาทิตย์ที่ประเทศไทยจะเอียงไปทางทิศใต้เกือบตลอดทั้งปี การออกแบบห้องต่างๆ ภายในบ้านจำเป็นต้องคำนึงถึงทิศทางของแสงอาทิตย์และความร้อนที่จะเข้ามายังห้องต่างๆ โดยทิศเหนือเป็น ทิศที่รับแสงแดดน้อยที่สุด ทิศตะวันออกจะได้รับแสงในตอนเช้าถึงเที่ยงซึ่งเป็นแดดที่ไม่แรงนัก ดังนั้น สองทิศนี้จึงเหมาะที่จะวางตำแหน่ง ของห้องที่ไม่ต้องการความร้อน เช่น ห้องนอน ห้องนั่งเล่น ห้องทำงาน ทิศตะวันตกเป็นทิศที่รับแสงแดดจัดในช่วงบ่ายเหมาะกับ วางตำแหน่งห้องครัว และห้องน้ำ เพื่อช่วยลดกลิ่นอับและฆ่าเชื้อโรค อีกทั้งยังช่วยป้องกันความร้อนและความชื้นเข้าไปยังพื้นที่ใช้งาน ภายในบ้าน ทิศใต้หรือทิศตะวันตกเฉียงใต้เป็นทิศที่รับแสงเกือบตลอดทั้งวัน จึงเหมาะกับการสร้างห้องหรือเป็นพื้นที่ที่ไม่ได้ใช้งาน ตลอดทั้งวัน เช่น ห้องเก็บของ โถงบันได โรงรถ และควรปลูกต้นไม้ใหญ่ในทิศนี้ จะสามารถช่วยกรองแสงที่จะเข้าสู่ตัวบ้าน ทำให้ อุณหภูมิของบ้านไม่สูงจนเกินไป นอกจากนี้ การติดตั้งแผ่นเซลล์สุริยะก็ควรหันไปทางทิศใต้ โดยให้แผ่นเซลล์สุริยะเอียงสูงจากพื้น เป็นมุมตามตำแหน่งละติจูด เพื่อสามารถรับแสงที่ตกตั้งฉากกับดวงอาทิตย์และใช้ประโยชน์พลังงานจากแสงอาทิตย์ได้คุ้มค่า ช่วย ประหยัดค่าใช้จ่ายในการใช้พลังงานไฟฟ้า

ภาพ 12 แสดงการวางผังของห้องต่างๆ ภายในบ้านให้สอดคล้องกับตำแหน่งของดวงอาทิตย์
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของนิตยสาร สสวท. ปีที่ 51 ฉบับที่ 245 พฤศจิกายน – ธันวาคม 2566
ผู้อ่านสามารถติดตามบทความที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ที่ https://emagazine.ipst.ac.th/245/14/
บรรณานุกรม
Kay, L. & Palen, S. & Smith, B. & Blumenthal, G. (2013). 21st Century Astronomy: stars and galaxies. 4th ed. New York: W. W. Norton & Company.
Hannah, Robert & Magli, Giulio. (2009). The Role of the Sun in the Pantheon’s Design and Meaning. Numen. 58. 10.1163/156852711X577050.
Stonehenge. สืบค้นเมื่อ 12 พฤศจิกายน 2566. จาก http://www.ancient-isdom.com/englandstonehenge.htm.
เชิดศักดิ์ แซ่ลี่ อรพิน ริยาพร้าว กรกมล ศรีบุญเรือง และศิรามาศ โกมลจินดา. (2566). หนังสือชุดความรู้โบราณดาราศาสตร์ ปราสาทพนมรุ้ง. เชียงใหม่: หน่วยพิมพ์เอกสาร คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
เชิดศักดิ์ แซ่ลี่ อรพิน ริยาพร้าว กรกมล ศรีบุญเรือง และศิรามาศ โกมลจินดา. (2566). หนังสือชุดความรู้โบราณดาราศาสตร์ ปราสาทพิมาย. เชียงใหม่: หน่วยพิมพ์เอกสาร คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (2566). หนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โลก ดาราศาสตร์และอวกาศ เล่ม 6. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ สกสค. ลาดพร้าว.
