มหัศจรรย์น้ำทะเลเรืองแสง
หลายท่านคงเคยได้เห็นทะเลเรืองแสงในตอนกลางคืน ไม่ว่าจะทางภาพถ่าย ทางสื่อต่าง ๆ หรือบางท่านอาจคงเคยมีประสบการณ์ได้พบเห็นด้วยตนเอง ซึ่งปรากฏการณ์ทะเลเรืองแสงนี้เราจะเรียกว่า“Bioluminescence” ซึ่งคนไทยบางพื้นที่อาจจะเรียกว่าต่อ ๆ กันมาว่า พรายน้ำ นั่นเอง ปรากฏการณ์ทะเลเรืองแสงนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร เกิดขึ้นจากอะไร เกิดขึ้นช่วงเวลาไหน วันนี้เราจะมาหาคำตอบกัน
ภาพปรากฏการณ์ทะเลเรืองแสง
ที่มา http://philhart.com/content/bioluminescence-gippsland-lakes
ปรากฏการณ์ทะเลเรืองแสงสีฟ้าหรือที่เรียกกันว่า “ปรากฏการณ์ขี้ปลาวาฬ (Red tide)” คือชื่อสามัญของปรากฏการณ์สาหร่ายสะพรั่ง เป็นการรวมตัวขนาดใหญ่ของจุลชีพในท้องทะเล ซึ่งเกิดขึ้นจากไดโนแฟลกเจลเลตไม่กี่ชนิด ที่มีการสะพรั่งสีแดงหรือน้ำตาล เป็นเหตุการณ์ที่เกิดจากสาหร่ายที่อาศัยอยู่ในน้ำกร่อย น้ำเค็ม หรือ น้ำจืด มีการสะสมอย่างรวดเร็วในห้วงน้ำ ส่งผลให้เกิดสีบนผิวน้ำ โดยปกติแล้วจะพบได้ตามชายหาด ความงามทางธรรมชาตินี้มักเกิดขึ้นในยามค่ำคืนตามธรรมชาติ ในท้องทะเลนั้นจะมีสิ่งมีชีวิตเล็กๆต่าง ๆ ที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าล่องลอยอยู่มากมาย หลากหลายชนิด โดยสิ่งมีชีวิตพวกนี้เรียกว่า แพลงก์ตอน (Plankton) โดยแพลงก์ตอนที่ทำให้เกิดการเรืองแสงนี้จะเป็นแพลงก์ตอนพืชในกลุ่ม ไดโนแฟลกเจลเลต (Dinoflagellates) กว่า 720,000 เซลล์ เช่น Noctiluca scintillans , Gonyaulax sp. และ Pyrocystis sp. เป็นต้น โดยแพลงก์ตอนเหล่านี้สามารถทำปฏิกิริยาพิเศษที่เรียกว่า Bioluminescence ทำให้ผนังเซลล์เกิดการเรืองแสงเป็นสีเขียวหรือสีน้ำเงินได้ และยิ่งเมื่อแพลงก์ตอนพวกนี้มาอยู่รวมกันมากๆ เราจึงเห็นทะเล เรืองแสงเป็นสีน้ำเงิน หรือสีเขียวอมฟ้าออกมาได้ชัดเจน และถ้าน้ำมีการสั่นสะเทือนหรือเราลงไปในน้ำมันก็จะเกิดแสงรอบ ๆ นั่นเอง แพลงก์ตอนกลุ่มนี้พบได้ทั่วโลกเป็นปกติ แต่จะแพร่พันธุ์ได้มากเป็นพิเศษหรือ เกิดการ Bloom ขึ้นในทะเลที่มีแอมโมเนีย ไนโตรเจนและฟอสฟอรัส อยู่มากและนั่นก็เป็นแหล่งอาหารชั้นดีของพวกมันนั่นเอง ในภาวะปกติเจ้าพวกแพลงก์ตอนเหล่านี้จะพบไม่หนาแน่นและไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตในน้ำ แต่หากในน้ำที่มีปริมาณธาตุอาหารมากเกินไปจะทำให้เกิดการแบ่งตัวขยายปริมาณของแพลงก์ตอนอย่างรวดเร็วทำให้ปริมาณมวลแพลงก์ตอนเหล่านี้อาจบดบังแสงหรือปิดกั้นผิวน้ำทำให้ออกซิเจนในน้ำลดลง และการบดบังแสงกันเองของแพลงก์ตอนจะทำให้พวกมันค่อย ๆ ตายลงจนในที่สุด ปรากฏการณ์นี้จะเห็นได้เฉพาะจากระยะไกล และเมื่อยามที่เรือก่อปฏิกิริยาเคลื่อนไหวต่อท้องทะเล เช่น การออกเรือ การแล่นเรือ หรือการที่คนลงไปเล่นน้ำ การเรืองแสงของแพลงตอนดังกล่าวจะอยู่ได้นานเพียงแค่ 2-3 ชั่วโมงเท่านั้น หลังจากนั้นแสงจะค่อย ๆ ลดลงเรื่อย ๆ แต่ว่าแสงที่เราได้เห็นนั้นในช่วงแรกจะมีความสว่างมากเฉพาะในคืนเดือนมืด
อย่างไรก็ตามท้องทะเลเรืองแสงสวยงามที่เรามองเห็นนี้ย่อมส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศวิทยา อาจเป็นอันตรายต่อปลาและสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ในท้องทะเล ที่เกิดจากการสาหร่ายเซลล์เดียวบางชนิดปล่อยสารพิษออกมา แต่นอกจากนั้นสาหร่ายที่เจริญเติบโตอย่างรวดเร็วและมีจำนวนหนาแน่น จะกั้นไม่ให้แสงอาทิตย์ส่องลงไปยังแหล่งน้ำได้ ทำให้พืชที่อยู่ใต้น้ำตาย เนื่องจากไม่สามารถรับแสงอาทิตย์เพื่อสังเคราะห์แสงและสร้างอาหาร ทำให้สัตว์อื่นที่กินพืชตายตามไปด้วยเนื่องจากไม่มีแหล่งอาหาร ในขณะเดียวกันเมื่อสาหร่ายตายลงก็ต้องใช้ออกซิเจนในการย่อยสลาย ทำให้เกิดภาวะออกซิเจนในน้ำลดลง และค่าแอมโนเนียในน้ำสูง ส่งผลกระทบต่อสัตว์น้ำซึ่งต้องอาศัยออกซิเจนในการดำรงชีวิตอีกด้วย จึงทำให้ปลาและสิ่งมีชีวิตบริเวณตามชายฝั่งทะเลตายเป็นจำนวนมากได้
แหล่งที่มา
Rebecca Lindsey and Michon ScottDesign by Robert Simmon. (2010, 13 Jul). What are Phytoplankton?. Retrieved 19 August 2019, จาก https://earthobservatory.nasa.gov/features/Phytoplankton
ทรงพจน์ สุภาผล. (2015, 31 May). ‘แพลงก์ตอน’ สิ่งมีชีวิตขนาดจิ๋วในมหาสมุทรกับบทบาทแหล่งผลิตอ๊อกซิเจนแหล่งใหญ่ของโลก. สืบค้นเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2562, จาก https://www.voathai.com/a/world-of-plankton-ss/2796966.html
Amki Green. (2019, 14 Jan). ปรากฏการณ์น้ำทะเลเปลี่ยนสีหรือปรากฏการณ์ขี้ปลาวาฬ (Red tide). สืบค้นเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2562, จาก https://www.trueplookpanya.com/knowledge/content/68150/-blo-sciear-sci-
-
10979 มหัศจรรย์น้ำทะเลเรืองแสง /article-science/item/10979-2019-10-25-07-25-14เพิ่มในรายการโปรด
-
คำที่เกี่ยวข้อง