ขอขอบคุณข้อมูลจาก โรงพยาบาลเปาโล
ช่องคลอดอักเสบ (Vaginitis) เกิดขึ้นบริเวณภายในช่องคลอด (vagina) และปากช่องคลอด(vulva) อาการที่พบบ่อย คือ อาการตกขาวผิดปกติ คันกลิ่น ตกขาวปนเลือด แสบร้อนในช่องคลอด ซึ่งการวินิจฉัยโรคสามารถทำโดยการตรวจภายใน ร่วมกับการนำตกขาวไปตรวจ เพื่อหาสาเหตุของเกิดช่องคลอดอักเสบ ว่ามีที่มาจากเชื้อรา หรือเชื้อแบคทีเรีย เพื่อการรักษาที่ถูกต้อง เนื่องจากการรักษาแต่ละสาเหตุมีความแตกต่างกัน ซึ่งสามารถแบ่งได้โดยสังเขป ดังนี้
ตกขาวจากเชื้อรา เกิดจากความอับชื้น โดยตกขาวชนิดนี้จะมีลักษณะเป็นแป้ง และมีอาการคันบริเวณช่องคลอด
ตกขาวจากเชื้อแบคทีเรีย ตกขาวจะมีกลิ่นเหม็นคาว หรือมีกลิ่นภายหลังมีเพศสัมพันธ์ เป็นต้น
ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดช่องคลอดอักเสบ คือ การสวนล้างช่องคลอด การใช้แผ่นอนามัย การใส่กระโปรง หรือกางเกงรัดรูป เนื่องจากจะทำให้ขาบีบชิดกันมากเกินไป ผู้ที่รับประทานยาแก้อักเสบบ่อยๆ หรือผู้ที่มีภูมิต้านทานต่ำ ก็จะส่งผลให้สภาพแวดล้อมในช่องคลอดเกิดความเปลี่ยนแปลงไปจึงเกิดตกขาวได้ง่าย เป็นต้นเมื่อมีอาการควรรีบพบแพทย์ เนื่องจากหากเกิดอาการบ่อยๆ บริเวณปากมดลูกจะเกิดการระคายเคือง และอาจส่งผลเกี่ยวเนื่องกับมะเร็งปากมดลูกได้
ประจำเดือนผิดปกติ ผู้ที่ประจำเดือนมาผิดปกติ โดยส่วนใหญ่จะมาพบแพทย์ด้วยอาการ ประจำเดือนออกกระปริดกระปรอย ประจำเดือนมามากหรือน้อยเกินไป และประจำเดือนขาดหายโดยมิได้เกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์ ซึ่งอาการเหล่านี้อาจส่งผลถึงการทำงานของรังไข่ และหากเกิดในผู้สูงอายุ อาจเกี่ยวข้องกับโรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก โดยสาเหตุหลักของประจำเดือนที่มาผิดปกติ เกิดจากฮอร์โมนที่ผิดปกติ และการตรวจวินิจฉัยสามารถทำได้ 2 วิธี คือการตรวจภายใน และการตรวจอัลตร้าซาวด์หน้าท้องหรือช่องคลอด
ก้อนในบริเวณท้องน้อย สำหรับก้อนบริเวณท้องน้อยของผู้หญิง จะมาพบแพทย์ด้วยอาการปวดท้อง ปัสสาวะบ่อย เลือดออกผิดปกติ คลำเจอก้อน น้ำหนักลด ซึ่งอาการดังกล่าวส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นอาการนำของโรคทางนรีเวชในหลายๆ โรค อาทิ เนื้องอกกล้ามเนื้อมดลูก เนื้องอกรังไข่และท่อนำไข่ เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ ฯลฯ โดยสามารถตรวจวินิจฉัย ด้วยการตรวจภายในอัลตร้าซาวด์ เพื่อวินิจฉัยถึงที่มาของสิ่งผิดปกติที่พบและจำแนกว่าเป็นถุงน้ำ ก้อนเนื้อธรรมดา หรือมะเร็งเป็นต้น
มะเร็งอวัยวะสืบพันธ์ นับได้ว่าเป็นโรคมะเร็งอันดับต้นๆ ที่เป็นภัยร้ายคร่าชีวิตผู้หญิงไทยไปอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ภัยดังกล่าวจะมีอัตราลดลงบ้าง เนื่องจากผู้หญิงมีความตื่นตัว และใส่ใจในการดูแลโรคทางนรีเวชมากขึ้น แต่ถึงอย่างไร ก็ยังเป็นสิ่งที่ทุกคนควรดูแลและให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่อง เพราะมะเร็งอวัยวะสืบพันธ์ของผู้หญิงเกิดได้ในหลายส่วน โดยมะเร็งปากมดลูกพบมากที่สุด มะเร็งรังไข่พบมากเป็นอันดับสอง
การดูแลตนเองเบื้องต้นสำหรับผู้หญิง เกี่ยวกับช่องคลอดหลีกเลี่ยงการสวนล้างช่องคลอด ใช้แผ่นอนามัยเฉพาะช่วงวันที่มีประจำเดือน หลีกเลี่ยงการใส่กระโปรง หรือกางเกงรัดรูป ออกกำลังกายเป็นประจำ พักผ่อนให้เพียงพอ ควบคุมน้ำหนักตามเกณฑ์ที่กำหนด หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง เนื่องจากไขมันเป็นสารตั้งต้นของการเกิดโรคหลายชนิด อาทิ มะเร็งรังไข่ มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก เป็นต้น