นอกจากข้อมูล GPS จะถูกใช้เพื่อดูตำแหน่งของผู้เล่นเทียบกับเวลาและแผนที่โลกแล้ว ข้อมูลนี้ยังถูกเอามาใช้วัดระยะทางและความเร็วในการเคลื่อนที่ของผู้เล่นอีกด้วย โดยบังคับให้เหล่าผู้เล่น ต้องออกเดิน ออกวิ่ง ไปพร้อมกับแอป Pokemon Go เพื่อเอาระยะทางที่ GPS วัดได้มาเป็นคะแนนใช้ฟักไข่มอนสเตอร์ ส่วนความเร็วที่วัดไว้ก็เพื่อกันการโกงระยะทางด้วยการพาสมาร์ทโฟนนั่งมอเตอร์ไซต์หรือรถยนต์ค่ะ ถ้าจับได้ว่าเคลื่อนที่ไปเร็วเกินปรกติ เกมก็จะไม่นับระยะทางนั้นเป็นคะแนนให้ จึงทำให้เกิดอารมณ์ร่วมของผู้เล่นไปกับเกมสมจริงยิ่งขึ้นไปอีกหนึ่งระดับ

อีกเทคโนโลยีสำคัญที่ไม่พูดไม่ได้ก็คือเทคโนโลยี Augmented Reality (AR) หรือความเป็นจริงเสริม ที่หมายถึงการนำข้อมูลดิจิทัลที่เคยถูกจำกัดให้อยู่แต่ในโลกของคอมพิวเตอร์ ออกมาข้างนอก ซ้อนอยู่บนโลกแห่งความเป็นจริง ซึ่งเกม Pokemon Go ก็คือการใช้กล้องติดสมาร์ทโฟนช่วยให้เราเห็นภาพตัวโปเกมอน มายืนยิ้มแฉ่งรอให้จับอยู่กลางสนามหญ้าผ่านโหมด AR ในเกมนั่นเอง

เทคโนโลยี AR ถ้านับอายุแล้วก็ต้องถือเป็นน้องของเทคโนโลยี Virtual Reality (VR) หรือโลกเสมือนจริง โดยเทคโนโลยี VR คือการพยายามทำให้คนหลุดไปอยู่ในโลกดิจิทัลที่สร้างด้วยคอมพิวเตอร์ ยิ่งคนรู้สึกว่าโลกเสมือนจริงนั้นสมจริงเท่าไหร่ยิ่งถือว่าสำเร็จมากเท่านั้น ในทางตรงกันข้าม AR จะนำเอาโลกดิจิทัลออกมาผสมกับโลกแห่งความเป็นจริงแทน ยิ่งการผสมทำได้เนียนจนคนแยกไม่ออกว่าอันไหนคือดิจิทัล อันไหนคือของจริง ยิ่งถือเป็นความสำเร็จของ AR เท่านั้น  ซึ่งในระยะหลังด้วยกระแสของแว่น VR อย่าง Oculus Rift ที่พัฒนาโดยทีม Facebook ที่มาแรงกว่า ทำให้ AR กลายเป็นเทคโนโลยีที่ถูกมองข้ามไป ปรากฏการณ์ Pokemon Go ฟีเวอร์ครั้งนี้จึงเป็นการกลับมาอย่างภาคภูมิของ AR และเป็นประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งที่สำคัญของเทคโนโลยี AR ด้วย เพราะนี่เป็นครั้งแรกของโลกจริง ๆ ที่ผลิตภัณฑ์ซึ่งมี AR เป็นตัวชูโรงหลักสามารถกลายเป็นกระแสฮิตในหมู่คนทั่วไปได้ทั่วโลก

ข้อมูลและภาพจาก

- http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9590000071065

- http://www.metalbridges.com/pokemon-go-ios-android/