ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติของไฟฟ้า
ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติของไฟฟ้า
ในชีวิตประจำวันเราได้พบเห็นปรากฎการณ์ทางธรรมชาติที่เกี่ยวข้องกับไฟฟ้าสถิต เช่น ฟ้าแลบ ฟ้าผ่า ซึ่งในสมัยโบราณคนไทยเชื่อว่า เกิดจากนางเมขลาล่อแก้ว แล้วรามสูรขว้างขวานใส่ เมื่อขว้างพลาดก็เกิดปรากฏการฟ้าผ่าตามมา ซึ่งในภายหลังเราทราบว่าปรากฏการณ์ฟ้าแลบ ฟ้าผ่า เกิดจากการถ่ายโอนประจุไฟฟ้าในบรรยากาศ
นอกจากนี้ในช่วงฤดูหนาว ในวันที่อากาศแห้ง เมื่อเราหวีผมนานๆ จะสังเกตเห็นว่าเส้นผมของเราจะไม่เรียบ แต่เหมือนกับหวีมีแรงดึงดูดเส้นผมของเรา อีกตัวอย่างหนึ่ง คือ ปลาไหลไฟฟ้า ชาวประมงจะคุ้นเคยดี เมื่อสัมผัสโดนตัวปลาไหล เราจะรู้สึกชา เป็นอันตรายต่อผู้สัมผัส ซึ่งชาวอียิบต์โบราณเรียกปลาไฟฟ้าที่พวกเขาพบว่า สายฟ้าแห่งแม่น้ำไนล์ (Thunderer of the Nile)
ปรากฏการณ์ฟ้าผ่าการถ่ายโอนประจุไฟฟ้าในบรรยากาศ
ปลาไหลไฟฟ้าไฟฟ้าสถิตในชีวิตประจำวัน
ประวัติการศึกษาไฟฟ้า
เธลีส แห่ง มิเลทัส(Thales of Miletus) 640-546 ปี ก่อนคริสต์ศักราช
ภาพจาก:http://en.wikipedia.org/
New layer...
การค้นพบไฟฟ้าสถิตเริ่มจาก เธลิส (Thales, 624-546 ปีก่อนคริสต์ศักราช) นักคณิตศาสตร์ นักดาราศาสตร์ และนักปรัชญาชาวกรีก ได้นำแท่งอำพันมาถูกับผ้าขนสัตว์ แล้วพบว่าแท่งอำพันดูดวัตถุเบาๆ ได้ โดยเธลิสเชื่อว่าการขัดถูแท่งอำพันจะทำให้แท่งอำพันแสดงความเป็นแม่เหล็กได้ ในขณะที่มีหินแร่ (minerals) บางชนิดที่แสดงความเป็นแม่เหล็กได้โดยไม่ต้องขัดถู แต่ความเชื่อของเธลิสนั้นผิด เนื่องจากการขัดถูอำพันไม่ได้แสดงความเป็นแม่เหล็กของอำพัน แต่เป็นการถ่ายโอนประจุไฟฟ้าระหว่างผ้าขนสัตว์กับอำพัน อย่างไรก็ตามในภายหลังนักวิทยาศาสตร์สามารถพิสูจน์ได้ว่ามีความเชื่อมโยงกันระหว่างความเป็นแม่เหล็กกับความเป็นไฟฟ้า
ปี ค.ศ. 1936 มีการค้นพบแบตเตอรี่แบกแดด (Baghdad Battery) ในตะวันออกกลาง สมัยราชวงศ์ปาร์เธีย (Parthia) โดยใช้ความรู้ทางด้านแผ่นโลหะไฟฟ้า (Electroplating) ซึ่งคล้ายคลึงกับเซลล์ไฟฟ้าเคมี แต่ยังไม่แน่ชัดว่าเป็นการใช้ไฟฟ้าจากธรรมชาติหรือไม่
หลังจากนั้นความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติของไฟฟ้าได้พัฒนาอีกเล็กน้อย จนกระทั่งประมาณปี ค.ศ. 1600 เมื่อ วิลเลี่ยม กิลเบิร์ต (William Gilbert) นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ ได้ศึกษาแม่เหล็กและไฟฟ้าอย่างละเอียด โดยศึกษาผลกระทบของแท่งเหล็กจากไฟฟ้าสถิตที่เกิดจากการขัดถูของอำพัน เขาบัญญัติศัพท์จากการค้นพบใหม่เป็นภาษาละตินใหม่ว่า "electricus" (แปลว่าอำพันในภาษากรีก) ซึ่งหมายถึงคุณสมบัติของการดึงดูดวัตถุเล็กๆ หลังจากการขัดสี และตรงกับคำในภาษาอังกฤษว่า "electric" และ "electricity" โดยปรากฏขึ้นครั้งแรกในงานเขียนเรื่อง Pseudodoia Epidemica ของโธมัส บราวน์ (Thomas Browne) เมื่อปี ค.ศ. 1646 และมีชิ้นงานที่ให้การสนับสนุนต่อๆ มานำโดยอ็อตโต ฟอน เกียริก (Otto von Guericke), โรเบิร์ต บอยล์ (Robert Boyle), สตีเฟน เกรย์ (Stephen Gray) และชาร์ล เอฟ. ดู เฟย์ (C. F. du Fay)
ในคริตศตวรรษที่ 18 เบนจามิน แฟรงคลิน (Benjamin Franklin) ได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับไฟฟ้าอย่างจริงจัง เขาขายทรัพย์สมบัติที่มีเพื่อเป็นทุนวิจัยของเขา ลือกันว่าเขาทำการทดลองในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1752 โดยติดลูกกุญแจโลหะไว้ที่ด้านล่างของเชือกว่าวที่เปียกน้ำ แล้วปล่อยว่าวลอยขึ้นฟ้าในวันที่ท้องฟ้ามีลมพายุรุนแรง เขาสังเกตเห็นประกายไฟที่ประโดดจากลูกกุญแจโลหะสู่หลังมือของเขา มันมีแสงเหมือนฟ้าแลบ ซึ่งก็คือไฟฟ้าในธรรมชาตินั่นเอง
ในปี ค.ศ. 1791 ลุยจิ กัลวานี (Luigi Galvani) นักฟิสิกส์ชาวอิตาลี ได้ตีพิมพ์การค้นพบไฟฟ้าชีวภาพ พิสูจน์ให้เห็นว่าไฟฟ้าเป็นตัวกลางของการส่งสัญญาณจากเซลล์ประสาทปสู่กล้ามเนื้อ
อเล็กซานโดร โวลต้า (Alessandro Volta) ได้ประดิษฐ์แบตเตอรี่ที่ทำมาจากแผ่นเซลล์ที่ซ้อนทับกันของสังกะสีและทองแดง นับว่าเป็นความสำเร็จของนักวิทยาศาสตร์ที่สามารถพัฒนาแหล่งจ่ายไฟฟ้า ที่ดีกว่าเครื่องกำเนิดไฟฟ้าสถิต (Electrostatic Generator) ที่เคยใช้กันมาก่อนหน้านี้
ประมาณปี ค.ศ. 1819 – 1820 ได้มีการนำเสนอทฤษฎีแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetism) เป็นทฤษฎีที่ศึกษาเกี่ยวกับปรากฏการณ์ไฟฟ้าและแม่เหล็ก โดยฮันส์ คริสเตียน เออสเตด (Hans Christian Orsted) และอังเดร มารี แอมแปร์ (Andre-Marie Ampere)
ปี ค.ศ. 1821 ไมเคิล ฟาราเดย์ (Michael Faraday) ได้ประดิษฐ์มอเตอร์ไฟฟ้า (ไดนาโม)
ปี ค.ศ. 1827 จอร์จ ไซมอน โอห์ม (Georg Simon Ohm) ได้ใช้คณิตศาสตร์วิเคราะห์วงจรไฟฟ้า หรือเป็นที่รู้จักในชื่อ "กฎของโอห์ม (Ohm’s law)"
ปี ค.ศ. 1861 และ 1862 เจมส์ คลาร์ก แมกซ์เวลล์ (James Clerk Mawell) ได้นำเสนอทฤฎีแม่เหล็กไฟฟ้า อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างสนามแม่เหล็กและสนามไฟฟ้า ในงานเขียนของเขา ชื่อ “On Physical Lines of Force” และ “Treatise on Electricity and Magnetism”
ในศตววรษต่อมาวิทยาศาสตร์ด้านไฟฟ้าเจริญรุดหน้าอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะเห็นความก้าวหน้าของวิศวกรรมไฟฟ้าอย่างมาก บุคคลสำคัญที่ร่วมกันพัฒนาความรู้เกี่ยวกับแม่เหล็กไฟฟ้า ได้แก่ นิโคลา เทสลา (Nikola Tesla), โทมัส อัลวา เอดิสัน (Thomas Edison), อ็อตโต บราธี (Otto Blathy), เอินสท์ เวอเทอ ฟอน ซีเมนส์ (Ernst Werner von Siemens), อเล็กซานเดอร์ เกรแฮม เบลล์ (Aleander Graham Bell) และวิลเลียม ทอมสัน บารอนเคลวินที่ 1 (Lord Kelvin) ไฟฟ้าได้แปลงโฉมหน้าวิถีชีวิตของคนสมัยใหม่ มีความจำเป็นและสมควรกับการเป็นแรงขับเคลื่อนในการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 2
เรียบเรียงจาก
Electricity.http://en.wikipedia.org/wiki/Electricity
ไฟฟ้า.http://th.wikipedia.org/wiki
ไฟฟ้าสถิต: ปรากฏการณ์ทางไฟฟ้าhttps://www.myfirstbrain.com
-
7206 ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติของไฟฟ้า /lesson-physics/item/7206-2017-06-11-03-15-48เพิ่มในรายการโปรด