แบบจำลองอะตอม ยังเหมือนเดิมหรือไม่
แบบจำลองอะตอมยังเหมือนเดิมหรือไม่
โครงสร้างอะตอมเป็นหนึ่งในเนื้อหาที่อยู่ในตัวชี้วัดตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 สำหรับผู้เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ซึ่งเป็นความรู้พื้นฐานของการเรียนรู้เรื่องฟิสิกส์อนุภาคหรือสมบัติของธาตุในระดับที่สูงขึ้น แบบจำลองอะตอมจากตำราที่เขียนไว้ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันระบุว่า อะตอมประกอบด้วยอนุภาคพื้นฐาน 3 ชนิด ได้แก่ โปรตอน (Proton) นิวตรอน (Neutron) และอิเล็กตรอน (Electron) โดยโปรตอนและนิวตรอนอยู่รวมกัน ตรงศูนย์กลางของอะตอม เรียกว่า นิวเคลียส (Nucleus) ซึ่งมีขนาดเล็กมากเมื่อเทียบกับขนาดของอะตอม พื้นที่ที่เหลือของอะตอมเป็นที่ว่างอิเล็กตรอนเคลื่อนที่อยู่ในที่ว่างโดยรอบนิวเคลียส ดังภาพที่ 1 (สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, 2562) แนวคิดเรื่องโครงสร้างอะตอมและแบบจำลองอะตอมนี้ นักวิทยาศาสตร์หรือผู้ที่สนใจได้พัฒนาแนวคิดนี้ตั้งแต่ยุคกรีกเรื่อยมาผ่านการสังเกตปรากฏการณ์ต่างๆ รอบตัว โดยพยายามหาคำตอบด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์และพัฒนาแนวคิดจากหลักฐานเชิงประจักษ์

ภาพ 1 แบบจำลองอะตอมที่มีอิเล็กตรอนอยู่รอบนิวเคลียส
ที่มา: สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, 2562
ความเข้าใจเกี่ยวกับองค์ประกอบและลักษณะของอะตอมดังภาพที่ 1 ได้มีการพัฒนามาเรื่อยๆ เช่น นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่านอกจากโปรตอนและนิวตรอน ก็ยังประกอบด้วยอนุภาคอื่นที่เล็กกว่าที่เรียกว่า ควาร์ก (Quark) และยังค้นพบอนุภาคที่เป็นสื่อของแรงอนุภาค ที่ไม่สามารถแบ่งแยกได้อีก หรือที่เรียกว่า อนุภาคมูลฐาน อนุภาคเหล่านี้อยู่ในทฤษฎีที่เรียกว่าแบบจำลองมาตรฐาน (Standard Model) ซึ่งเป็นทฤษฎีหนึ่งที่สำคัญในการศึกษาฟิสิกส์อนุภาค โดยทฤษฎีนี้ได้อธิบายพฤติกรรมและอันตรกิริยาระหว่างอนุภาคมูลฐานในแบบจำลองมาตรฐาน ซึ่งมีทั้งหมด 12 อนุภาค และมีแรงธรรมชาติพื้นฐานทั้งหมด 4 แรง แบบจำลองนี้ยังไม่สมบูรณ์ เนื่องจากยังไม่ค้นพบอนุภาคบางชนิด เช่น อนุภาคฮิกส์ (Higgs) ดังภาพที่ 2 ซึ่งเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่จะทำให้แบบจำลองมาตรฐานมีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น (CERN Accelerating Science, n.d.; ฐกลวรรธน์ จันทร์วัฒนะ, 2566; นรพัทธ์ ศรีมโนภาษ, 2566)

ภาพ 2 อนุภาคมูลฐานในแบบจำลองมาตรฐาน ที่มา: cds.cern.ch

ภาพบรรยากาศการแถลงข่าวการค้นพบอนุภาคฮิกส์
จนกระทั่งในปี ค.ศ. 2012 ได้มีข่าวใหญ่ที่สำคัญมากในวงการวิทยาศาสตร์ นั่นก็คืออนุภาคฮิกส์ได้ถูกค้นพบโดยสภาวิจัยนิวเคลียร์แห่งยุโรป หรือเซิร์น (Conseil Européen pour la Recherche Nucléaire, CERN) ซึ่งได้ประกาศการค้นพบอนุภาคฮิกส์ ดังภาพที่ 3 โดยอนุภาคนี้มีการค้นหากันมายาวนานเกือบ 50 ปี ตั้งแต่ปีเตอร์ ฮิกส์ นักฟิสิกส์ชาวอังกฤษได้ทำนายถึงการมีอยู่ของมันมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1964 (สุรศักดิ์ พงศ์พันธุ์สุข, 2555) และในปี ค.ศ. 2018 เซิร์นก็ได้ประกาศการค้นพบอนุภาคฮิกส์เป็นครั้งที่สอง ซึ่งเป็นหลักฐานยืนยันการมีอยู่จริงของอนุภาคดังกล่าวให้ชัดเจน หนักแน่นขึ้น ข่าวการค้นพบอนุภาคฮิกส์นี้ทำให้คนทั่วไปได้รู้จักเซิร์นและเครื่องเร่งอนุภาคกันมากขึ้น (BBC News ไทย, 2561)

ภาพจำลองแสดงการสลายตัวของอนุภาคฮิกส์ที่บันทึกได้เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม ค.ศ. 2012
ภาพ 3 การค้นพบอนุภาคฮิกส์ ที่มา: cds.cern.ch
สภาวิจัยนิวเคลียร์แห่งยุโรป หรือเซิร์น ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1952 จากความร่วมมือของกลุ่มประเทศในยุโรปตะวันตก 12 ประเทศ ซึ่งได้ร่วมกันจัดตั้งองค์กรเพื่อวิจัยเกี่ยวกับฟิสิกส์นิวเคลียร์ โดยเน้นไปที่การศึกษาวิจัยโดยไม่เกี่ยวข้องกับการทหาร และต้องเผยแพร่ผลการศึกษาออกสู่สาธารณะ เซิร์นตั้งอยู่ ณ พื้นที่บริเวณตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส มีพื้นที่ครอบคลุมพรมแดนระหว่างสมาพันธรัฐสวิสและประเทศฝรั่งเศส ดังภาพที่ 4 (สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ, 2564)

ภาพ 4 สถานที่ตั้งของเซิร์น
ที่มาภาพ : cds.cern.ch
วัตถุประสงค์ของเซิร์นในปัจจุบันได้ปรับเปลี่ยนจากอดีตเล็กน้อย โดยเปลี่ยนขอบเขตงานวิจัยจากการศึกษาฟิสิกส์นิวเคลียร์หรือฟิสิกส์อะตอมมาเป็นการศึกษาฟิสิกส์อนุภาค ภารกิจหลักของเซิร์นคือ เป็นศูนย์วิจัยที่สนับสนุนเครื่องเร่งอนุภาคสำหรับการวิจัยเกี่ยวกับฟิสิกส์อนุภาค เพื่อการเพิ่มพูนความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติ ปัจจุบันเซิร์นเป็นที่รู้จักในฐานะสถาบันวิจัยฟิสิกส์อนุภาคแห่งยุโรป มีประเทศสมาชิกกว่า 23 ประเทศ ดังภาพที่ 5 สำหรับประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีข้อตกลงความร่วมมือกับเซิร์นตั้งแต่ปี ค.ศ. 2018 โดยมีความร่วมมือในการพัฒนาการวิจัยระหว่างกัน (สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ, 2564)

ภาพ 5 ประเทศสมาชิกของเซิร์น
ที่มา: cds.cern.ch
เซิร์นมีพนักงานรวมกันกว่า 2,500 คน และมีนักวิจัยจากทั่วโลกลงทะเบียนเป็นผู้ใช้งานมากกว่า 17,500 คน มีนักวิทยาศาสตร์จากหลากหลายสาขาวิชา ไม่ว่าจะเป็นฟิสิกส์ คณิตศาสตร์ สถิติ คอมพิวเตอร์ และ วิศวกรรม มาร่วมกันดำเนินการวิจัย (สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยีแห่งชาติ, 2564) เครื่องมือวิจัยที่สำคัญของเซิร์นคือเครื่องเร่งอนุภาค ซึ่งเป็นเครื่องจักรที่ทำหน้าที่เร่งอนุภาคให้เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง จนมีความเร็วเกือบเท่าความเร็วแสง โดยการใช้แรงแม่เหล็กไฟฟ้ามากระทำกับอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าให้เคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นในทิศทางที่ต้องการ อนุภาคจะถูกเร่งความเร็วให้เคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยแรงไฟฟ้า และจะถูกเปลี่ยนทิศทางด้วยแรงแม่เหล็ก ซึ่งอนุภาคจะไม่ได้เคลื่อนที่ไปแค่อนุภาคเดียว แต่จะไปกันเป็นกลุ่ม โดยมีแม่เหล็กช่วยโฟกัสให้อนุภาคอยู่ใกล้กันเป็นกลุ่ม ดังภาพที่ 6 อนุภาคที่ถูกเร่งจะแบ่งเป็น 2 กลุ่ม เคลื่อนที่ในทิศทางตรงกันข้าม เมื่อเร่งความเร็วอนุภาคได้ตามที่ต้องการ ก็จะควบคุมให้อนุภาคชนกัน ณ บริเวณตัวตรวจวัดสัญญาณ (Detector) ที่ทำหน้าที่ตรวจวัดอนุภาคต่างๆ ที่ปรากฏขึ้นจากการชนกัน (ฐกลวรรธน์ จันทร์วัฒนะ, 2566; นรพัทธ์ ศรีมโนภาษ, 2566)

ภาพ 6 การทำงานของเครื่องเร่งอนุภาค
ที่มา: ดัดแปลงจาก cds.cern.ch
เครื่องเร่งอนุภาคโดยทั่วไปมี 3 ชนิด ได้แก่ เครื่องเร่งอนุภาคแนวตรง หรือ Linac (Linear Accelerator) เป็นเครื่องเร่งอนุภาคที่ทำให้อนุภาคเคลื่อนที่เป็นเส้นตรง, เครื่องเร่งอนุภาคไซโคลตรอน (Cyclotron) ทำให้อนุภาคเคลื่อนที่เป็นรูปก้นหอย และ เครื่องเร่งอนุภาคซินโครตรอน (Synchrotron) ทำให้อนุภาคเคลื่อนที่เป็นรูปวงแหวน ดังภาพที่ 7 ซึ่งในแบบหลังนี้ ขณะที่อนุภาคเลี้ยวโค้ง จะแผ่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีลักษณะเฉพาะออกมา เรียกว่า Synchrotron Radiation ซึ่งเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความเข้มสูง ขนาดลำแสงเล็กมีความถี่หลากหลาย ตั้งแต่รังสีอินฟราเรดจนถึงรังสีเอกซ์ สามารถนำคลื่นนี้ไปใช้ประโยชน์ที่เหมาะสมตามความต้องการได้ (Brewster, S., 2016; ฐกลวรรธน์ จันทร์วัฒนะ, 2566; นรพัทธ์ ศรีมโนภาษ, 2566)
ภาพ 7 จำลองการทำงานของเครื่องเร่งอนุภาคชนิดต่าง ๆ
ที่มา: symmetrymagazine.org
เครื่องเร่งอนุภาคที่เซิร์นมีทั้งชนิด Linac และซินโครตรอน โดยเครื่องเร่งอนุภาคที่ทรงพลังที่สุดของเซิร์นและของโลกก็คือเครื่องเร่งอนุภาค LHC (Large Hadron Collider) ซึ่งเป็นเครื่องเร่งอนุภาคชนิดซินโครตรอนที่มีขนาดใหญ่มาก มีลักษณะเป็นอุโมงค์รูปวงกลมที่มีเส้นรอบวงถึง 27 กิโลเมตร ดังภาพที่ 8 เครื่องเร่งอนุภาค LHC นี้มีตัวตรวจวัดสัญญาณ 4 ตัวด้วยกัน ได้แก่ ATLAS, ALICE, CMS และ LHCb โดยแต่ละตัวมีจุดประสงค์ในการตรวจวัดอนุภาคในการทดลองที่แตกต่างกันไปในอนาคต เซิร์นกำลังพัฒนาเครื่องเร่งอนุภาคเครื่องใหม่ที่มีขนาดใหญ่และทรงพลังกว่า คือเครื่องเร่งอนุภาค FCC (Future Circular Collider) ซึ่งจะมีขนาดเส้นรอบวงกว่า 100 กิโลเมตร (CERN Accelerating Science, n.d.; ฐกลวรรธน์ จันทร์วัฒนะ, 2566; นรพัทธ์ ศรีมโนภาษ, 2566)
ภาพ 8 เครื่องเร่งอนุภาค LHC
ที่มา: cds.cern.ch
งานวิจัยหลักที่เกิดขึ้นในเซิร์นเป็นการศึกษาฟิสิกส์อนุภาคเพื่อทำความเข้าใจและเพิ่มพูนองค์ความรู้ให้แก่มนุษยชาติ ในปัจจุบันเราได้ทราบว่าอนุภาคมูลฐานในแบบจำลองมาตรฐานมีทั้งหมด 12 อนุภาค มีอนุภาคฮิกส์ที่เพิ่งได้รับการยืนยัน และมีแรงธรรมชาติพื้นฐานทั้งหมด 4 แรง ถึงแม้จะมีการค้นพบอนุภาคฮิกส์แล้ว ก็ยังคงมีการทดลองอีกหลายอย่างที่เซิร์นเพื่อศึกษาธรรมชาติของอนุภาคต่างๆ เช่น มีการหาค่าของมวลที่แม่นยำของอนุภาคฮิกส์ในการทดลองที่ ATLAS มีการศึกษาธรรมชาติของอนุภาคกลูออนในการทดลองที่ ALICE มีการศึกษาอนุภาคที่เป็นกลางที่มีอายุยืน (Long-lived Neutral Particles) ในการทดลองที่ CMS และมีการศึกษาความไม่สมมาตรของอนุภาคและปฏิอนุภาคในการทดลองที่ LHCb (CERN Accelerating Science, 2023) นอกจากนี้ ยังมีเครื่องเร่งอนุภาคอื่นที่ศึกษาฟิสิกส์อนุภาคเช่นกัน เช่น เครื่องเร่งอนุภาคที่ แฟร์มีแล็บ (Fermilab) ประเทศสหรัฐอเมริกา ดังภาพที่ 9 ซึ่งได้ประกาศผลการทดลองที่น่าจะเป็นหลักฐานการมีอยู่ของแรงธรรมชาติแรงที่ 5 เมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2566 (BBC News ไทย, 2566) ซึ่งการค้นพบดังกล่าว อาจทำให้มีการเปลี่ยนแปลงองค์ความรู้ในแบบจำลองมาตรฐานได้ จึงเห็นได้ว่าความรู้ด้านฟิสิกส์อนุภาคยังมีการค้นพบใหม่ๆ และยังมีสิ่งที่น่าค้นหาอีกมากมาย

ภาพ 9 การทดลอง Muon g-2 ที่แฟร์มีแล็บ
ที่มา: bbc.com
นอกจากความรู้ด้านฟิสิกส์อนุภาคแล้ว เทคโนโลยีหรือองค์ความรู้ที่ได้จากเครื่องเร่งอนุภาคสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในด้านอื่นๆ ได้ เช่น ด้านการแพทย์ได้นำเครื่องเร่งอนุภาคไปใช้ในการถ่ายภาพและวินิจฉัยโรค ด้านสิ่งแวดล้อมได้นำเทคโนโลยีเซนเซอร์ไปประยุกต์ใช้ในการตรวจวัดมลพิษ ด้านศิลปะได้ใช้รังสีเอกซ์ที่เรียกว่า Color X-ray ในการศึกษาองค์ประกอบของภาพวาดในอดีต ดังภาพที่ 10 ด้านการสื่อสารได้นำ World Wide Web ซึ่งเป็นเทคโนโลยีสื่อสารภายในของเซิร์น สำหรับการรับส่งข้อมูลของนักวิทยาศาสตร์ มาประยุกต์ใช้ในการสื่อสารในชีวิตประจำวัน ซึ่งแพร่หลายไปทั่วโลกอย่างมาก (CERN Accelerating Science, n.d.; ฐกลวรรธน์ จันทร์วัฒนะ, 2566; นรพัทธ์ ศรีมโนภาษ, 2566)

ภาพ 10 การวิเคราะห์ภาพศิลปะด้วยรังสีเอ็กซ์
ที่มา: home.cern
สำหรับประเทศไทยก็มีเครื่องเร่งอนุภาคเช่นกัน โดยเครื่องที่ใหญ่ที่สุดอยู่ที่สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน) เป็นเครื่องเร่งอนุภาคชนิดซินโครตรอนที่มีขนาดเส้นรอบวง 81 เมตร มีระดับพลังงาน 1.2 จิกะอิเล็กตรอนโวลต์ ดังภาพที่ 11 มีวัตถุประสงค์ในการวิจัยและให้บริการแสงซินโครตรอนเพื่อประโยชน์หลายด้าน เช่น ด้านวิทยาศาสตร์พื้นฐาน ใช้ในงานวิจัยเกี่ยวกับสมบัติของอะตอมหรือโมเลกุลของสสาร ด้านวิทยาศาสตร์ชีวภาพและวิทยาศาสตร์การแพทย์ ใช้ในการศึกษาโครงสร้างของสารชีวโมเลกุลหรือโปรตีน เพื่อประยุกต์ใช้ในการออกแบบยารักษาโรค ด้านอุตสาหกรรม ใช้ในการศึกษาวัสดุเพื่อวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือปรับปรุงผลิตภัณฑ์เดิม (สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน, 2565) ในปัจจุบันความต้องการใช้แสงซินโครตรอนในประเทศไทยมีมากขึ้น จึงมีการสร้างเครื่องกำเนิดแสงซินโครตรอนรุ่นที่ 2 ซึ่งมีขนาดเส้นรอบวงถึง 321 เมตร มีระดับพลังงาน 3 จิกะอิเล็กตรอนโวลต์ ในเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor of Innovation: EECi) จ.ระยอง ซึ่งจะเปิดดำเนินการได้ในปี พ.ศ. 2573 มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาและวิจัยเทคโนโลยีและนวัตกรรม ด้วยเครื่องมือวิทยาศาสตร์ขั้นสูงรองรับการพัฒนาประเทศในอนาคต (สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน, 2562)
ภาพ 11 ภาพจำลองเครื่องกำเนิดแสงซินโครตรอนของประเทศไทย
ที่มา: สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน, 2562
จะเห็นได้ว่าลักษณะและธรรมชาติของนักวิทยาศาสตร์หรือผู้ที่สนใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่งจะไม่หยุดการสังเกตปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในธรรมชาติ และไม่ย่อท้อที่จะค้นหาคำตอบที่สงสัย รวมถึงได้ใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ในการแสวงหาจนทำให้ค้นพบความรู้ใหม่ๆ มากมาย ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ทำให้ได้เรียนรู้ว่าความรู้ทางวิทยาศาสตร์ไม่มีความคงทน มีการเปลี่ยนแปลงได้เมื่อมีหลักฐานเชิงประจักษ์เพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับการค้นพบเกี่ยวกับแบบจำลองอะตอมนี้ ซึ่งสอดคล้องกับลักษณะของธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ที่ว่า ความรู้ทางวิทยาศาสตร์มีพื้นฐานมาจากหลักฐานเชิงประจักษ์ และสามารถเปลี่ยนแปลงได้เมื่อมีหลักฐานใหม่ที่ขัดแย้งกับความรู้ทางวิทยาศาสตร์เดิม และสามารถอธิบายปรากฏการณ์ได้ดีกว่า และ/หรือมีการตีความหลักฐานเชิงประจักษ์ที่มีอยู่ ด้วยมุมมองหรือทฤษฎีใหม่ (AAAS, 1990) ด้วยเหตุนี้ ผู้เรียนจึงไม่ควรหยุดนิ่งในการเรียนรู้ ความรู้ใหม่ๆ ที่เพิ่มขึ้นหรือเปลี่ยนแปลงได้ และไม่มองข้ามปรากฏการณ์ต่างๆ เช่น ความรู้เรื่องโครงสร้างอะตอมหรือองค์ความรู้ที่ได้จากเครื่องเร่งอนุภาค ที่บางคนอาจมองว่าเป็นเรื่องไกลตัว แต่สามารถนำความรู้มาประยุกต์ใช้ ประโยชน์ในด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันและในอนาคตได้อย่างมากมาย
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของนิตยสาร สสวท. ปีที่ 51 ฉบับที่ 245 พฤศจิกายน – ธันวาคม 2566
ผู้อ่านสามารถติดตามบทความที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ที่ https://emagazine.ipst.ac.th/245/24/
บรรณานุกรม
American Association for the Advancement of Science (AAAS). (1990). Project 2061: Science for all Americans. New York: Oxford University Press.
BBC News ไทย. (2561). เครื่องชนอนุภาคแอลเอชซีตรวจพบ “ฮิกส์ โบซอน” เป็นครั้งที่สอง. สืบค้นเมื่อ 17 ตุลาคม 2566. จาก https://www.bbc.com/thai/international-44386550.
BBC News ไทย. (2566). นักฟิสิกส์พบอนุภาคแกว่งตัวผิดปกติ บ่งชี้ว่า “แรงที่ 5” มีอยู่จริง. สืบค้นเมื่อ 17 ตุลาคม 2566. จาก https://www.bbc.com/thai/articles/c0k4kw5qv4lo.
CERN Accelerating Science. (n.d.). Contribute to Society. Retrieved June 13, 2023, from https://home.cern/about/what-we-do/our-impact.
CERN Accelerating Science. (n.d.). Fundamental Research. Retrieved June 13, 2023, from https://home.cern/about/what-we-do/fundamental-research.
CERN Accelerating Science. (n.d.). Graphics. Retrieved June 13, 2023, from https://cds.cern.ch/collection/Graphics?ln=en.
CERN Accelerating Science. (n.d.). The Standard Model. Retrieved June 13, 2023, from https://home.cern/science/physics/standard-model.
CERN Accelerating Science.. LHCb tightens precision on key measurements of matter–antimatter asymmetry. Retrieved June 13, 2023, from https://home.cern/news/news/physics/lhcb-tightens-precision-key-measurements-matter-antimatter-asymmetry.
CERN Accelerating science. ALICE shines light into the nucleus to probe its structure. Retrieved June 14, 2023, from https://home.cern/news/news/physics/ alice-shines-light-nucleus-probe-its-structure.
CERN Accelerating science. ATLAS sets record precision on Higgs boson’s mass. Retrieved June 21, 2023, from https://home.cern/news/news/physics/ atlas-sets-record-precision-higgs-bosons-mass.
CERN Accelerating science. Looking for sterile neutrinos in the CMS muon system. Retrieved June 28, 2023, from https://home.cern/news/news/physics/ looking-sterile-neutrinos-cms-muon-system.
Signe Brewster. (2016). A primer on particle accelerators. Symmetry Magazine. Retrieved June 13, 2023, from https://www.symmetrymagazine.org/article/ a-primer-on-particle-accelerators?language_content_entity=und.
ฐกลวรรธน์ จันทร์วัฒนะ. (2566). Introduction to Particle Accelerator and LHC. โครงการอบรมฟิสิกส์อนุภาคพื้นฐาน. กรุงเทพมหานคร.
นรพัทธ์ ศรีมโนภาษ. (2566). เปิดโลกสู่ CERN และการศึกษาฟิสิกส์อนุภาค. โครงการอบรมฟิสิกส์อนุภาคพื้นฐาน, กรุงเทพมหานคร.
สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน). (2565). แสงซินโครตรอนสำหรับประชาชนทั่วไป. Thai Synchrotron National Lab. สืบค้นเมื่อ 17 ตุลาคม 2566. จาก https://www.slri.or.th/th/what-is-synchrotron-light/forpeople.html#benefit.
สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน). (2566). เครื่องกำเนิดแสงซินโครตรอน 3 GeV กำลังสำคัญแห่ง EECi. Thai Synchrotron National Lab. สืบค้นเมื่อ 17 ตุลาคม 2566. จาก https://www.slri.or.th/th/ข่าววิทยาศาสตร์ทั่วไป/เครื่องกำเนิดแสงซินโครตรอน-3-gev-กำลังสำคัญแห่ง-eeci.html.
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (2562). หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์ มัธยมศึกษาปีที่ 1 เล่ม 1 ตามมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์สกสค. ลาดพร้าว.
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ. (2564). เซิร์น สถาบันวิจัยฟิสิกส์อนุภาคพลังงานสูง ภารกิจเพื่อพัฒนาองค์ความรู้ทางฟิสิกส์ขั้นพื้นฐานและความเป็นหนึ่งเดียวกัน ของมนุษยชาติ. การประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 16. สืบค้นเมื่อ 17 ตุลาคม 2566. จาก https://www.nstda.or.th/nac/2021/2021/03/20/cern-organization/.
สุรศักดิ์ พงศ์พันธุ์สุข. (2555). 4 กรกฎาคม 2555 เซิร์นประกาศการค้นพบอนุภาคฮิกส์โบซอน. กลุ่มวิจัยและพัฒนานิวเคลียร์ สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) สืบค้นเมื่อ 17 ตุลาคม 2566. จาก http://nkc.tint.or.th/nkc55/content55/nstkc55-074.html.
