กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
ระดับประถมศึกษา
42
แนวทางการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์แบบสืบเสาะหาความรู้
ในการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ในห้องเรียนที่เน้นให้ผู้เรียนได้เรียนรู้
สอดคล้องกับการพัฒนาผู้เรียนแห่งศตวรรษที่ ๒๑ และธรรมชาติการเรียนรู้ของ
มนุษย์นั้น ครูสามารถเลือกกลวิธีในจัดการเรียนรู้ได้อย่างหลากหลายตามความ
เหมาะสมกับเนื้อหา เวลา บริบท และปัจจัยอื่น ๆ กลวิธีที่สามารถนำ�มาใช้จัดการ
เรียนรู้ในห้องเรียนได้ เช่น การเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem-Based
Learning) การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry-Based Learning)
“การสืบเสาะ (Inquiry)” เป็นกระบวนการเรียนรู้วิทยาศาสตร์โดย
เลียนแบบวิธีการที่นักวิทยาศาสตร์ใช้ในการสืบเสาะหาความรู้ต่าง ๆ เกี่ยวกับ
ธรรมชาติ แม้ว่าจะมีการนำ�การเรียนรู้แบบสืบเสาะมาใช้ในการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
มาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี ปัจจุบันก็ยังปรากฏความสับสนหลายประการเกี่ยว
กับการเรียนรู้แบบสืบเสาะ ดังนี้
๑. การสืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์และวัฏจักรการเรียนรู้
แบบ ๕ ขั้น (5E Learning Cycle) เป็นสิ่งเดียวกัน
๒. การจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ต้องจัดแบบสืบเสาะหาความรู้เท่านั้น
๓. การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้คือต้องให้ผู้เรียนเป็นผู้ตั้งคำ�ถามและ
ทำ�การสืบเสาะเพื่อตอบคำ�ถามที่ตนตั้งไว้ด้วยตัวเอง
๔. การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้คือการมุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้ลงมือทำ�
กิจกรรม (hands-on activity) เพื่อฝึกฝนทักษะกระบวนการมากกว่า
การสร้างองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์
๕. ความตื่นเต้นสนุกสนานของผู้เรียนระหว่างทำ�กิจกรรมเป็นตัวบ่งชี้
ระดับของการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์
ตามมาตรฐานวิทยาศาสตร์ศึกษาแห่งชาติของประเทศสหรัฐอเมริกา
(National Science Education Standards) โดยสภาวิจัยแห่งชาติ (NRC, 1996)
ได้นิยาม “การสืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์” (Scientific Inquiry) ว่าเป็น
กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ที่นักวิทยาศาสตร์ใช้เพื่อศึกษาปรากฏการณ์ต่าง ๆ
ที่เกิดขึ้นในธรรมชาติ และนำ�เสนอผลการศึกษานั้นตามสารสนเทศหรือ
หลักฐานต่าง ๆ ที่รวบรวมได้
การจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์โดยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้แบบสืบเสาะหา
ความรู้ จึงหมายถึงการให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้ของตนเอง
เพื่อพัฒนาความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาทางวิทยาศาสตร์ควบคู่ไปกับทักษะ
กระบวนการต่าง ๆ ระหว่างกระบวนการสืบเสาะหาความรู้แบบเดียวกัน
กับที่นักวิทยาศาสตร์ใช้เพื่อทำ�ความเข้าใจปรากฏการณ์ตามธรรมชาติ จึงกล่าวได้ว่า
หัวใจสำ�คัญของการสืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ในชั้นเรียนก็คือ
การให้ผู้เรียนได้ใช้กระบวนการในการสำ�รวจตรวจสอบ (Investigation Process)
และรวบรวมข้อมูลหรือหลักฐานต่าง ๆ มาใช้อธิบายปรากฏการณ์หรือแก้ปัญหา
ข้อสงสัยที่ตนมีเพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจในหลักการหรือเนื้อหาทางวิทยาศาสตร์
ซึ่งการสืบเสาะหาความรู้ที่ผู้เรียนได้ทำ�ระหว่างการเรียนรู้วิทยาศาสตร์มีส่วนที่
คล้ายคลึงกับวิธีการที่นักวิทยาศาสตร์ใช้ในการเรียนรู้สิ่งต่างๆ ที่สนใจดังตารางที่ ๓