Unplugging to Plug: การบริหารจัดการการใช้สมาร์ตโฟน เพื่อพัฒนาการที่เหมาะสมของเด็ก
ในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีพัฒนาอย่างก้าวกระโดด เด็ก Gen Alpha (เกิดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555 หรือ ค.ศ. 2012 เป็นต้นมา) ที่เติบโตท่ามกลางเทคโนโลยีดิจิทัลจะมีความคุ้นเคยกับการใช้สมาร์ตโฟน แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ และอินเทอร์เน็ต ซึ่งเปิดโอกาสให้เด็ก ๆ สามารถเข้าถึงแหล่งความรู้ ข้อมูลข่าวสาร สื่อการสอน เกม การซื้อของผ่านระบบออนไลน์ และกิจกรรมต่าง ๆ ที่หลากหลาย ในขณะเดียวกันก็ยังช่วยเสริมสร้างทักษะการคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหา และความคิดสร้างสรรค์ด้วย นอกจากนี้ เด็ก ๆ ยังสามารถใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ติดต่อสื่อสาร พูดคุย แลกเปลี่ยน เรียนรู้ และเล่นกับเพื่อน ครอบครัว หรือผู้คนจากทั่วโลกได้ผ่านแอปพลิเคชันต่าง ๆ มากมาย ซึ่งจะช่วยพัฒนาทักษะการสื่อสาร การเข้าสังคม และสร้างมิตรภาพได้
อย่างไรก็ตาม พบว่าในปัจจุบันมีเด็กจำนวนมากใช้เวลาอยู่กับสมาร์ตโฟนเพิ่มมากขึ้นจนทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจจะมีต่อพัฒนาการในด้านต่าง ๆ ของเด็กด้วยเช่นกัน จากสื่อที่ไม่มีคุณภาพและสื่ออันตรายประเภทต่าง ๆ ที่อยู่ในโลกออนไลน์ จึงมีความพยายามที่จะสร้างความตระหนักในการจัดการให้มีการใช้สมาร์ตโฟนของเด็กอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อทำให้เกิดการส่งเสริมพัฒนาการที่เหมาะสมหรือดีที่สุดสำหรับเด็ก โดยมีการนำเอากลยุทธ์ต่าง ๆ มาใช้ร่วมด้วย เช่น การมีส่วนร่วมของผู้ปกครอง (ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมาก) การกำหนดเวลาในการใช้สมาร์ตโฟนหรือเวลาที่จะให้เด็ก ๆ อยู่กับหน้าจอ และการส่งเสริมการเล่นสมาร์ตโฟนแบบที่ต้องลงมือปฏิบัติและการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมของเด็ก โดยต้องมีผู้ดูแลเด็กหรือครูที่สามารถเข้ามามีบทบาทในการสร้างสภาพแวดล้อมที่ทำให้เกิดการส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาการของเด็กที่เข้มแข็งและมีประสิทธิภาพได้ รวมทั้งผู้ดูแลเด็กหรือครูเองก็ต้องมองไปถึงประเด็นความเสี่ยงหรือผลกระทบทางด้านลบจากการใช้สมาร์ตโฟนของเด็กที่ได้จากงานวิจัยต่าง ๆ ควบคู่กันไปด้วย
มีงานวิจัยจำนวนมากที่เผยแพร่ผ่านสื่อ และได้สะท้อนให้เห็นถึงผลของการใช้สมาร์ตโฟนในเด็กระดับประถมศึกษาที่มีต่อทักษะการเรียนรู้และพัฒนาการทางด้านต่าง ๆ ทั้งในด้านบวกและด้านลบ โดยจะเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น อายุของเด็ก เนื้อหาของสื่อ ลักษณะของการเรียนรู้ และสภาพแวดล้อมของการเรียนรู้ (Xie et al., 2018) และด้วยการบริหารจัดการในลักษณะที่มองทั้งในมุมของการส่งเสริมและผลกระทบทางด้านลบต่อพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กจะทำให้ผู้ดูแลเด็กหรือครูสามารถให้คำแนะนำและการสนับสนุนที่เหมาะสมกับผู้ปกครองได้
ประเด็นสำคัญอีกประเด็นที่ต้องคำนึงถึงก็คือ เด็กแต่ละคนมีความต้องการในการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน และอาจจะตอบสนองต่อการใช้สมาร์ตโฟนได้แตกต่างกัน ดังนั้น ผู้ดูแลหรือครูจำเป็นต้องปรับแต่งวิธีการที่ใช้ในการส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็กให้ตรงกับความต้องการ สอดคล้องกับพัฒนาการของเด็ก และสถานการณ์ต่าง ๆ ของเด็กแต่ละคนได้
ความน่าสนใจและความเสี่ยงในการใช้สมาร์ตโฟน
ในปัจจุบันต้องยอมรับว่าสมาร์ตโฟนสามารถดึงดูดเด็กเล็กได้ด้วยคุณสมบัติต่าง ๆ เช่น มีสีสันสดใส มีเกมแบบโต้ตอบและให้ความสนุกสนานหรือความพึงพอใจที่ได้ใช้ แต่ขณะเดียวกันก็นำมาซึ่งความเสี่ยงที่สำคัญที่จะเกิดขึ้นกับเด็ก ๆ ด้วย มีงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่าการใช้สมาร์ตโฟนมากเกินไปส่งผลทำให้คุณภาพชีวิตของเด็ก ๆ ลดลง เนื่องจากการใช้เวลาไปกับสมาร์ตโฟนมากทำให้เกิดปัญหาการนอนหลับของเด็กไม่เพียงพอ ปัญหาทางด้านการควบคุมอารมณ์และพฤติกรรมของเด็ก ปัญหาความล่าช้าในด้านพัฒนาการทางสังคมของเด็ก และสุดท้ายจะส่งผลต่อปัญหาทางด้านการเรียนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ (Radesky & Christakis, 2016; Mascia et al., 2020; Panjeti-Madan & Ranganathan, 2023) นอกจากนี้ ยังส่งผลกระทบที่ทำให้เกิดโรคอ้วน และมีการแสดงออกของพฤติกรรมก้าวร้าว (Radesky & Christakis, 2016)

ภาพจาก: https://thehill.com/changing-america/well-being/mental-health/473048-howmany-kids-have-smartphones-even-more-than-you/
การหาจุดสมดุล: แนวทางการแก้ปัญหาที่หลากหลาย
แนวทางในการแก้ปัญหาเกี่ยวกับการใช้สมาร์ตโฟนสำหรับเด็ก ก็คือตัวเด็กเองต้องได้รับการพัฒนาทางด้านความฉลาดทางอารมณ์ (Emotional Intelligence - EQ) เพื่อทำให้เกิดความสามารถในการรับรู้ เข้าใจ และจัดการอารมณ์ของตนเองและผู้อื่นได้ ก็จะทำให้สามารถควบคุมตนเองในเรื่องของการใช้สมาร์ตโฟนในรูปแบบสมดุลได้ (Mascia et al., 2020) วิธีการนี้ถือเป็นการสร้างแรงจูงใจภายในตัวของเด็กเองขึ้นมา ซึ่งจะให้ผลดีกว่าการที่ผู้ปกครองจะสร้างกฎเพื่อการบังคับหรือการกำหนดข้อปฏิบัติให้กับเด็ก
ในยุคดิจิทัลนี้ สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการหาจุดสมดุลที่ลงตัวในการใช้เทคโนโลยี ซึ่งการจะทำให้สำเร็จได้นั้นต้องมีการเลือกและการปรับใช้วิธีการที่หลากหลาย (Radesky & Christakis, 2016) เช่นเดียวกับการสร้างสมดุลของการใช้เทคโนโลยีผ่านสมาร์ตโฟนของเด็ก ๆ ก็เป็นเรื่องที่ต้องอาศัยแนวทางที่หลากหลายเหมือนกัน เป็นแนวทางที่สอดคล้องกับพฤติกรรมของเด็กแต่ละคน เข้ากันได้อย่างลงตัวกับสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ตัวของเด็ก ยิ่งผู้ปกครองสร้างพฤติกรรมหรือนิสัยที่ดีให้กับเด็กตั้งแต่เนิ่น ๆ จะยิ่งช่วยพัฒนานิสัยและพฤติกรรมในการใช้สมาร์ตโฟนไปในทางที่ดีได้
Radesky & Christakis (2016) ได้เสนอแนะวิธีการเปลี่ยนนิสัยการใช้มือถือหรือเวลาที่เด็ก ๆ อยู่กับหน้าจอไว้ว่า การที่ผู้ปกครองจะกำหนดเวลาการใช้สมาร์ตโฟนหรือเวลาที่ยอมให้เด็กอยู่กับหน้าจออย่างชัดเจนนั้นเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ปกครอง เพราะข้อกำหนดนี้จะทำให้เด็กสามารถมีเวลาไปทำกิจกรรมสำคัญอื่น ๆ ที่จำเป็นต่อพัฒนาการของเด็กได้ โดยผู้ปกครอง ผู้ดูแล หรือครูสามารถกำหนดพื้นที่และช่วงเวลาปลอดสมาร์ตโฟนได้ เช่น ในเวลากินข้าวกับครอบครัวห้ามทุกคนใช้สมาร์ตโฟน หรือก่อนนอน 1 ชั่วโมงห้ามใช้สมาร์ตโฟนหรือคอมพิวเตอร์ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมและพัฒนาความสัมพันธ์ในครอบครัวให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น และจะต้องพยายามสอนและบอกให้เด็กได้เรียนรู้และเข้าใจการใช้สมาร์ตโฟนในฐานะของการเป็นผู้สร้างสื่อ ก็จะส่งผลทำให้เด็กได้เรียนรู้ พัฒนา และสามารถค้นหาวิธีการสร้างสื่อชนิดต่าง ๆ ด้วยตนเองในรูปแบบที่เหมาะสมกับวัยได้ นอกเหนือไปจากการเป็นเพียงแค่ผู้ใช้สื่อเท่านั้น แนวทางการปฏิบัติในลักษณะนี้จะช่วยส่งเสริมและพัฒนาพฤติกรรมการใช้เทคโนโลยีผ่านสมาร์ตโฟนอย่างรับผิดชอบและช่วยสร้างสมดุลที่ดีให้กับชีวิตในยุคดิจิทัลนี้ ในขณะเดียวกัน ก็ต้องจัดแบ่งเวลาเพื่อให้เด็กได้มีโอกาสทำกิจกรรมอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับโลกออนไลน์ด้วย เช่น การเรียนรู้และทบทวนบทเรียน การออกกำลังกาย ฝึกทักษะทางด้านกีฬาตามความชอบ และการเรียนรู้พัฒนาทักษะทางดนตรีกับกลุ่มเพื่อน กิจกรรมเหล่านี้จะช่วยพัฒนาทักษะทางสังคมให้กับเด็กเพื่อการเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่สามารถดำรงชีวิตร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างเหมาะสม
นอกจากนี้ งานวิจัยยังแสดงให้เห็นว่าเด็กใช้โลกออนไลน์เพื่อจุดประสงค์หลัก คือ ลดความเครียดหรือสร้างความสนุก ผ่อนคลายจากปัญหาต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน ส่งผลให้เด็กชอบที่จะอยู่ในโลกออนไลน์มากกว่าการใช้ชีวิตที่ต้องพบปะกับผู้คนจริง ๆ เพราะไม่ต้องใช้ความพยายามมากในการปรับตัวให้เข้ากับผู้อื่น สาเหตุนี้เองทำให้เด็กกลุ่มนี้สูญเสียความสามารถในการควบคุมความคิดและพฤติกรรมของตัวเองให้ออกมาจากอินเทอร์เน็ตได้ ส่งผลทำให้พวกเขาขาดช่วงเวลาสำคัญสำหรับการพัฒนาทักษะอื่น ๆ ที่จำเป็น ขาดเวลาสำหรับการเรียนรู้และทบทวนเนื้อหาในบทเรียน รวมทั้งการเรียนรู้ที่จะปรับตัวในสังคมเพื่อให้สามารถดำรงชีวิตได้แบบปกติสุขในอนาคต จากงานวิจัยพบว่า การฝึกสมาธิ ฝึกเรียนรู้ ควบคุม และเข้าใจอารมณ์ของตนเอง นอกจากจะช่วยลดปัญหาอาการซึมเศร้า ความกังวล และปัญหาทางพฤติกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์แล้ว ยังช่วยลดปัญหาการติดสมาร์ตโฟนในเด็กด้วย (Gámez-Guadix & Calvete, 2016; Choi et al., 2020)
Choi et al. (2020) ได้ทดลองจัดโปรแกรมการฝึกสมาธิในโรงเรียนมัธยมของเกาหลีใต้ ในช่วงเช้าสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ครั้งละ 20 นาที เป็นเวลา 12 สัปดาห์ โดยเปรียบเทียบกับกลุ่มนักเรียนมัธยมอีกกลุ่มที่ไม่ได้รับการฝึกสมาธิ แต่ให้เด็ก ๆ กลุ่มนี้เลือกอ่านหนังสืออะไรก็ได้แทน และห้ามใช้สมาร์ตโฟนโดยเด็ดขาดในช่วงเวลาเดียวกันกับอีกกลุ่มที่กำลังฝึกสมาธิ โดยในโปรแกรมฝึกจะมีการกำหนดขั้นตอนของการฝึกและเนื้อหาที่มุ่งเน้นในแต่ละสัปดาห์ตามลำดับ คือ
สัปดาห์แรก นักเรียนจะได้รับรู้เกี่ยวกับเป้าหมายของการฝึก เรียนรู้เกี่ยวกับการรับรู้ทางจิต การตระหนักรู้ การใช้เหตุผล และขั้นตอนในการฝึก
สัปดาห์ที่สอง เป็นเรื่องเกี่ยวกับการโยนความคิดที่ไม่ดีและความเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับครอบครัวทิ้งไป
สัปดาห์ที่สาม เกี่ยวข้องกับการสลัดเอาความคิดที่ไม่ดีและความเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับโรงเรียนทิ้งไป
สัปดาห์ที่สี่ เป็นการฝึกที่จะรับรู้และตระหนักเกี่ยวกับความคิดของตนเองในเรื่องของ “ความคิดด้อยค่าและความไม่ชอบในสิ่งต่าง ๆ” และวิธีที่จะจัดการเกี่ยวกับความคิดในแง่ลบ การปล่อยวางในสิ่งที่ไม่สามารถเข้าไปแก้ไขได้
สัปดาห์ที่ห้า เป็นการฝึกให้รู้จักและรับรู้เกี่ยวกับความวิตกกังวลต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น วิธีการจัดการเกี่ยวกับความวิตกกังวลที่เกิดขึ้น และการลบความคิดที่เคยติดอยู่กับการใช้สมาร์ตโฟน
สัปดาห์ที่หก เรียนรู้เกี่ยวกับความทรงจำที่เกิดจากความโกรธ ความรำคาญ และความเครียด การลบความคิดหรือความเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ และเชื่อมโยงไปกับการติดการใช้สมาร์ตโฟนในช่วงเวลาที่เกิดอารมณ์เหล่านี้ เพื่อทำให้สามารถปรับพฤติกรรมได้
สัปดาห์ที่เจ็ด เป็นการฝึกการจัดการเกี่ยวกับความทรงจำที่เกิดจากความคิดน่ากลัวและความกลัว
สัปดาห์ที่แปดจนถึงสัปดาห์สุดท้าย เป็นการฝึกการรับรู้และการจัดการเกี่ยวกับพฤติกรรมของตนเองเกี่ยวกับการใช้โทรศัพท์มือถือ และเมื่อครบ 12 สัปดาห์ พบว่าการจัดโปรแกรมการฝึกสมาธิ (และการมีสติ) ให้กับนักเรียนในระดับมัธยมศึกษาช่วยทำให้นักเรียนสามารถจัดการเกี่ยวกับอารมณ์ของตัวเองและส่งผลต่อการลดการติดการใช้สมาร์ตโฟนได้
บทบาทของโรงเรียนกับการใช้สมาร์ตโฟนของเด็ก
ถ้าไม่คิดเรื่องเวลานอนแล้ว จะเห็นได้ว่าเด็กใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับโรงเรียน ดังนั้น บทบาทของโรงเรียนในเรื่องของการจัดการแก้ปัญหาการใช้สมาร์ตโฟนจึงมีความสำคัญมาก โดยโรงเรียนสามารถใช้สมาร์ตโฟนเป็นเครื่องมือสำหรับการส่งเสริมการเรียนรู้ได้ โดยจำเป็นต้องมีการออกกฎระเบียบในการใช้สมาร์ตโฟนว่าจะให้มีการใช้ในช่วงเวลาใดสำหรับการเรียนการสอน และห้ามใช้สมาร์ตโฟนภายในโรงเรียนช่วงเวลาใด นอกจากนี้ บุคลากรในโรงเรียนต้องร่วมมือกันใช้กฎระเบียบเหล่านั้นอย่างพร้อมเพรียง (Chen et al., 2018; Lenhart, 2015)
แม้ว่าความเจริญก้าวหน้าของเทคโนโลยีจะเป็นเครื่องมืออันทรงคุณค่าทางด้านการศึกษาที่สามารถทำให้นักเรียนได้เรียนรู้และเดินทางไปสู่เป้าหมายทางการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่สำหรับก่อนวัยเรียนและเด็กประถมต้น การสร้างประสบการณ์นอกห้องเรียนมีความสำคัญมากกว่าประสบการณ์บนจอมือถือ งานวิจัยได้แสดงให้เห็นว่าหากมีการปล่อยให้เด็กประถมใช้เวลาอยู่กับมือถือ แท็บเล็ต วีดิโอเกม คอมพิวเตอร์ หรือแม้แต่ทีวีเป็นเวลานาน ๆ จะส่งผลกระทบด้านลบต่อพัฒนาการทางร่างกาย การพัฒนากระบวนการคิดและการใช้เหตุผล ทำให้เด็กมีปัญหาเกี่ยวกับการใส่ใจและความจำ พัฒนาการทางด้านการใช้ภาษา การพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ การพัฒนาทักษะในการเข้าสังคม การนอน และพฤติกรรมการกิน ดังนั้น การจัดการศึกษาในโรงเรียนและผู้ปกครองต้องพยายามกระตุ้นให้เด็กได้เล่นและออกมาทำกิจกรรมนอกห้องเรียนในรูปแบบที่แตกต่างและหลากหลาย (Panjeti-Madan & Ranganathan, 2023) เช่น วาดภาพ ปั้นดิน หล่อโมเดลปูนพลาสเตอร์และระบายสี การเล่นบอร์ดเกม อ่านหนังสือแบบออกเสียงดัง (หนังสือที่ไม่ใช่หนังสือเรียน) และการออกไปท่องเที่ยวกับครอบครัว

ภาพ 1 สื่อดิจิทัลชนิดต่าง ๆ (ที่มา: Panjeti-Madan & Ranganathan, 2023)
Wang et al. (2023) รายงานให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมการใช้สมาร์ตโฟนกับผลการเรียนของนักเรียนระดับประถมศึกษาปีที่ 5 และ 6 จำนวน 499 คน ในประเทศไต้หวัน พบว่า พ่อแม่ส่วนใหญ่ (71.1%) ควบคุมการใช้สมาร์ตโฟนของลูกตั้งแต่ตอนที่เรียนในชั้นประถมศึกษาปีที่ 3–4 และนักเรียนมักจะใช้สมาร์ตโฟนตอนหลังเลิกเรียน โดยใช้ในการติดต่อกับคนในครอบครัวและเพื่อนมากที่สุด โดยพฤติกรรมการใช้สมาร์ตโฟนของนักเรียนจะขึ้นกับความเข้มงวดในการควบคุมและดูแลของพ่อแม่ และการควบคุมการใช้สมาร์ตโฟนด้วยตัวของนักเรียนเอง ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้พบว่า นักเรียนที่มีวินัยในตัวเองสูง (ทั้งในกลุ่มที่ขอพ่อแม่ซื้อเองและไม่ได้ขอ) ใช้เวลากับการติดต่อสื่อสารผ่านสมาร์ตโฟนน้อยกว่า ในขณะที่นักเรียนที่ไม่มีวินัยในตัวเอง (ทั้งในกลุ่มที่ขอพ่อแม่ซื้อเองและไม่ได้ขอ) ใช้เวลาในการติดต่อสื่อสารและเล่นผ่านสมาร์ตโฟนมากกว่า พบว่าเพศหญิงใช้สมาร์ตโฟนในการค้นหาข้อมูลมากกว่าเพศชาย พฤติกรรมการใช้สมาร์ตโฟนเป็นตัวกลางที่ส่งผลต่อผลการเรียนของนักเรียน โดยในการศึกษาครั้งนี้พบว่า นักเรียนไต้หวันในกลุ่มที่ศึกษาที่ใช้สมาร์ตโฟนมากมีผลการเรียนดีกว่านักเรียนที่ใช้สมาร์ตโฟนน้อย และการควบคุมของพ่อแม่ส่งผลต่อพฤติกรรมการใช้สมาร์ตโฟนของลูก แต่ไม่ส่งผลต่อการเรียนโดยตรง ปัจจัยที่ส่งผลต่อ “ผลการเรียนของนักเรียน” ก็คือ “วินัยในตัวเองของนักเรียน”

ภาพจาก: https://apnews.com/article/gaming-business-children-00db669defcc8e0ca1fc-2dc54120a0b8
เทคโนโลยีต่าง ๆ ที่นำเข้าไปใช้ในการเรียนการสอน เช่น การใช้คอมพิวเตอร์ สมาร์ตโฟน โปรแกรมพื้นฐานที่ช่วยในการสอนและนำเสนอสื่อต่าง ๆ แอปพลิเคชันที่ใช้ร่วมกับสมาร์ตโฟน สามารถช่วยพัฒนาคุณภาพการสอนของครู และทำให้นักเรียนสามารถเข้าถึงบทเรียน และกระตุ้นการเรียนรู้ได้ โดยพบว่าการเลือกนำเทคโนโลยีมาใช้แบบผสมผสานร่วมกับเทคนิคการสอนที่แตกต่างและหลากหลายจะสามารถช่วยทำให้การจัดการเรียนการสอนดำเนินไปได้ดีกว่า และในทางกลับกัน งานวิจัยพบว่าการใช้สมาร์ตโฟนและคอมพิวเตอร์ทั้งในห้องเรียนและที่บ้านมีผลทำให้นักเรียนถูกดึงความสนใจออกจากบทเรียนเข้าไปสู่เรื่องอื่น ๆ และมักจะใช้เวลาในชั่วโมงของการเรียนรู้ไปกับสิ่งที่อยู่นอกบทเรียน ซึ่งพบได้ในนักเรียนทุกระดับชั้น ตั้งแต่ระดับประถมศึกษาถึงระดับอุดมศึกษา โดยผลกระทบจะเพิ่มขึ้นตามวัยและระดับของการเรียนรู้ (UNESCO, 2023) ดังนั้น การหาสมดุลของการใช้เพื่อทำให้เกิดการเรียนรู้อย่างจริงจัง การบริหารจัดการของโรงเรียนและการสนับสนุนจากผู้ปกครองเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อลดปัญหาจากการที่สมาร์ตโฟนทำให้ความสนใจในการเรียนของนักเรียนลดลง ทางโรงเรียนจึงมีความจำเป็นที่จะต้องหาวิธีการสร้างหลักสูตรสถานศึกษา โดยกำหนดเป้าหมายของหลักสูตรว่าต้องการให้นักเรียนได้ใช้สมาร์ตโฟนสำหรับการฝึกทักษะด้านใด เกี่ยวข้องกับเนื้อหาอะไร ในวิชาอะไร ด้วยวิธีการอย่างไร รวมถึงการออกแบบเครื่องมือสำหรับการวัดผลสัมฤทธิ์ในการเรียนรู้ของผู้เรียนได้ ซึ่งวิธีนี้จะทำให้นักเรียนได้เรียนรู้และเข้าใจการใช้สมาร์ตโฟนสำหรับการเรียน ได้เรียนรู้ทักษะต่าง ๆ ที่อยู่ในหลักสูตรสถานศึกษา และยังได้เรียนรู้ในเรื่องของการจัดการพฤติกรรมของตนเองที่เกี่ยวกับการใช้สมาร์ตโฟน รวมไปถึงการควบคุมและการตัดสินใจเกี่ยวกับการใช้สมาร์ตโฟนได้ เมื่อมีความเข้าใจถึงประโยชน์และโทษของการใช้สมาร์ตโฟน

ภาพจาก: https://www.sciencefocus.com/the-human-body/smartphones-wont-make-your-kids-dumb-we-think
บทสรุป
เทคโนโลยีดิจิทัลเปรียบเสมือนดาบสองคมที่มีทั้งประโยชน์และโทษขึ้นอยู่กับผู้ใช้ ดังนั้น ผู้ปกครอง ผู้ดูแล และคนในสังคมต้องร่วมมือกันเพื่อให้เด็ก Gen Alpha สามารถใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างเหมาะสม ปลอดภัย และเกิดประโยชน์สูงสุด โดยไม่ส่งผลเสียต่อพัฒนาการและสุขภาพจิตของเด็ก
การกำหนดเวลาการใช้สมาร์ตโฟนให้เหมาะสมกับวัยและควบคุมดูแลการใช้งานอย่างใกล้ชิดของผู้ปกครอง ผู้ดูแล และครู เพื่อเลือกสรรเนื้อหาที่เหมาะสม ปลอดภัย และเป็นประโยชน์ต่อเด็ก รวมทั้งการส่งเสริมให้เด็กมีกิจกรรมอื่น ๆ นอกเหนือจากการใช้สมาร์ตโฟน เช่น เล่นกีฬา อ่านหนังสือ วาดรูป เล่นดนตรี ช่วยลดปัญหาที่จะเกิดขึ้นตามมาได้ นอกจากนี้ ผู้ปกครองควรเป็นตัวอย่างที่ดีในการใช้สมาร์ตโฟนอย่างเหมาะสมด้วย (ไม่ใช่ห้ามเด็กไม่ให้ใช้แต่ผู้ปกครองมีพฤติกรรมติดสมาร์ตโฟนและใช้ตลอดเวลา) และผู้ปกครองควรจะมีกิจกรรมอื่น ๆ ทำร่วมกับเด็ก ผู้ปกครองควรพูดคุย สื่อสาร ให้ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างเหมาะสม และอันตรายของการใช้สมาร์ตโฟนมากเกินไป ก็น่าจะเป็นแนวทางให้เด็กซึ่งเป็นอนาคตของประเทศมีคุณภาพชีวิตที่ดีและสมดุลต่อไป
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของนิตยสาร สสวท. ปีที่ 52 ฉบับที่ 248 พฤษภาคม – มิถุนายน 2567
ผู้อ่านสามารถติดตามบทความที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ที่ https://emagazine.ipst.ac.th/248/38/
