การเรียนรู้วิทยาศาสตร์นอกห้องเรียน
ในยุคปัจจุบันซึ่งเป็นยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงและเกิดการแข่งขันทั้งในด้านวิทยาศาสตร์ เศรษฐกิจ และสังคม คนในสังคมโลกอาจต้องปรับตัวและตอบสนองต่อความคาดหวัง และความต้องการของสังคมมากขึ้น โดยองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organization for Economic Co-operation and Development: OECD) ได้ระบุคุณลักษณะที่จำเป็นหลายประการของคนในยุคนี้ที่ควรมี การคิดเชิงวิพากษ์และการแก้ปัญหา ความคิดสร้างสรรค์ ความรู้ด้านดิจิทัล ความสามารถในการปรับตัว การสื่อสาร และ การทำงานร่วมกัน รวมถึงการเรียนรู้ตลอดชีวิต (OECD, 2019)
ในสังคมไทย การรับมือการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลกต้องเริ่มจากการพัฒนาคนให้มีความรู้และมีคุณลักษณะที่สอดคล้องกับความคาดหวังและความต้องการของสังคมโลก โดยแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560 – 2579 มุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคนให้มีคุณลักษณะดังกล่าว และมีทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 (3Rs8Cs) ซึ่งประกอบด้วย
3Rs
- การอ่านออก (Reading)
- การเขียนได้ (Writing)
- การคิดเลขเป็น (Arithmetics)
8Cs
- ทักษะด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณ และทักษะในการแก้ปัญหา (Critical Thinking and Problem Solving)
- ทักษะด้านการสร้างสรรค์และนวัตกรรม (Creativity and Innovation)
- ทักษะด้านความเข้าใจต่างวัฒนธรรม ต่างกระบวนทัศน์ (Cross-cultural Understanding)
- ทักษะด้านความร่วมมือ การทำงานเป็นทีม และภาวะผู้นำ (Collaboration, Teamwork, and Leadership)
- ทักษะด้านการสื่อสาร สารสนเทศ และการรู้เท่าทันสื่อ (Communications, Information, and Media Literacy)
- ทักษะด้านคอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร (Computing and ICT Literacy)
- ทักษะอาชีพ และทักษะการเรียนรู้ (Career and Learning Skills)
- ความมีเมตตา กรุณา มีวินัย คุณธรรม จริยธรรม (Compassion)
การพัฒนาคุณลักษณะดังกล่าวให้เกิดกับผู้เรียนนั้นสามารถทำได้ทั้งในห้องเรียนและนอกห้องเรียน โดยแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560 – 2579 ส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการเรียนรู้ทั้งในและนอกห้องเรียน เพื่อพัฒนาทักษะการเรียนรู้ด้วยตนเอง ความมีวินัย และจิตสาธารณะของผู้เรียน (สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา, 2560)
การเรียนรู้นอกห้องเรียน หมายถึง การนำผู้เรียนไปเรียนนอก ห้องเรียนที่เสมือนเป็นห้องปฏิบัติการของชั้นเรียน เพื่อให้ผู้เรียนศึกษาสภาพ ตามความเป็นจริงและเกิดการเรียนรู้จากประสบการณ์ตรงที่อาจมาจากสิ่งที่อยู่รอบตัว อยู่ในชุมชน หรืออยู่ในธรรมชาติ จากการค้นพบ การสำรวจ หรือการไปทัศนศึกษา จากการสื่อสารหรือการมีส่วนร่วมกับผู้เรียนคนอื่น ๆ (Hammerman et al., 1994; นันท์พัทธนันท์ เชื้อแก้ว, 2550; อรนุช ลิมตศิริ, 2560) การเรียนรู้นอกห้องเรียนมีลักษณะเป็นการบูรณาการความรู้ในด้านต่าง ๆ เช่น วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ สังคมศาสตร์ ภาษา ศิลปะ เข้าด้วยกัน ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสบการณ์ในการเรียนรู้และสร้างความเข้าใจ ในแบบองค์รวมมากขึ้น (อรนุช ลิมตศิริ, 2560; Parker, 2022) รวมถึงช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองจากแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ นอกห้องเรียน (สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา, 2550)
การเรียนรู้วิทยาศาสตร์นอกห้องเรียนนอกจากจะทำให้ผู้เรียน มีความรู้และความเข้าใจในวิชาวิทยาศาสตร์มากขึ้นแล้ว ยังทำให้ผู้เรียน เกิดการพัฒนาทักษะที่สำคัญ เช่น การแก้ปัญหา การคิดอย่างมีวิจารณญาณ การคิดอย่างสร้างสรรค์ การสื่อสาร การทำงานร่วมกัน เกิดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เช่น การสังเกต การวัด การจำแนกประเภท การตั้งคำถาม การสร้างเจตคติและความสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งก่อให้เกิดการปลูกฝังจิตสำนึกให้ผู้เรียนดูแลและรักษาสิ่งแวดล้อม
การเรียนรู้วิทยาศาสตร์นอกห้องเรียนเกิดขึ้นบ่อยมากในชีวิต ประจำวัน ถ้าผู้สอนจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์นอกห้องเรียนโดยอ้างอิงหลักสูตร แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (กระทรวงศึกษาธิการ, 2560) ก็สามารถทำได้ ตัวอย่างสถานการณ์/กิจกรรมที่สอดคล้องกับตัวชี้วัดที่เกี่ยวข้องกับการดำรงชีวิตของพืชแสดงดังตารางต่อไปนี้
ตาราง: ความสอดคล้องของตัวอย่างสถานการณ์/กิจกรรมกับตัวชี้วัดในสาระวิทยาศาสตร์ชีวภาพที่เกี่ยวกับการดำรงชีวิตของพืช
ผู้เขียนขอยกตัวอย่างแนวทางการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ นอกห้องเรียนเรื่อง “สวนผักสุขภาพดี” ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยมีรายละเอียดของกิจกรรมซึ่งประกอบด้วย จุดประสงค์ สถานการณ์ วิธีการดำเนินกิจกรรม ตัวอย่างผลการดำเนินกิจกรรม ตัวอย่างเกณฑ์การประเมิน และข้อเสนอแนะ สำหรับการปรับเปลี่ยนวิธีการดำเนินกิจกรรมให้เหมาะสมตามบริบทของห้องเรียน
สวนผักสุขภาพดี
จุดประสงค์ :
1. นักเรียนสามารถระบุปัญหา ความต้องการ และเงื่อนไขเพื่อออกแบบสวนผักสุขภาพดี
2. นักเรียนรวบรวมข้อมูล ออกแบบ สร้าง และดูแลสวนผักสุขภาพดี
เวลาที่ใช้ : 1 – 3 เดือน
วัสดุอุปกรณ์ : ตามที่ได้ออกแบบไว้
สถานการณ์ :
ปัจจุบันการปลูกผักสวนครัวเพื่อรับประทานภายในบ้านเป็นทางเลือกหนึ่งของคนที่ใส่ใจในสุขภาพ เนื่องจากผักสวนครัวที่ซื้อมา อาจมีสารพิษตกค้างจากการเพาะปลูก ซึ่งจะส่งผลเสียต่อสุขภาพ ผักสวนครัวสามารถปลูกในพื้นที่ที่อยู่อาศัยได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้พื้นที่มาก การบำรุงและดูแลรักษาทำได้โดยไม่ต้องใช้สารเคมี และหากคำนึงถึงการใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์เพื่อปลูกผักให้ได้หลากหลายชนิด จะทำให้เรามีผักที่ปลอดภัยและมีความหลากหลายไว้บริโภค ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการออกไปซื้อ
ครอบครัวของนักเรียนจึงมีแนวคิดที่จะสร้างสวนผักสุขภาพดีเพื่อปลูกผักปลอดสารพิษไว้ภายในบ้าน ซึ่งมีพื้นที่ปลูกจำกัด เพียง 1 x 1 เมตร และมอบหมายให้นักเรียนออกแบบและสร้างสวนผักสุขภาพดี โดยจำนวนชนิดของผักต้องมีความหลากหลายและตรงกับความต้องการในการบริโภคภายในครอบครัวของตนเอง และนักเรียนต้องศึกษาวิธีการขยายพันธุ์ ขั้นตอนการปลูก และการดูแลรักษา ผักสวนครัวในสวนผักสุขภาพดีของครอบครัวของนักเรียนให้เจริญเติบโต เช่น การรดน้ำ การใส่ปุ๋ย การป้องกันและกำจัดศัตรูพืช
วิธีการดำเนินกิจกรรม
- อ่านสถานการณ์ที่กำหนดให้ และศึกษาเกณฑ์การประเมิน
- ระบุปัญหา ความต้องการ และเงื่อนไขเพื่อออกแบบสวนผักสุขภาพดี
- สำรวจชนิดของผักสวนครัวที่ใช้ประกอบอาหารภายในครอบครัวของตนเอง
- เลือกชนิดของผักสวนครัวที่ต้องการปลูก บันทึกผล
- รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการปลูกผักสวนครัวที่เลือก เช่น การขยายพันธุ์ ขั้นตอนการปลูก และการดูแล
- กำหนดเป้าหมายของการสร้างสวนผักสุขภาพดี เช่น เก็บผลผลิตได้ในระยะเวลาที่กำหนด
- ออกแบบสวนผักสุขภาพดี โดยเริ่มตั้งแต่การเลือกวิธีการขยายพันธุ์ ขั้นตอนการปลูก และวิธีการดูแล
- สร้างและดูแลสวนผักสุขภาพดีตามที่ออกแบบไว้
- บันทึกความก้าวหน้าของสวนผักสุขภาพดี
- ประเมินความสำเร็จของสวนผักสุขภาพดี พร้อมทั้งระบุผลที่ได้จากการสร้าง ปัญหาที่พบ และแนวทางการปรับปรุงสวนผักสุขภาพดี
- นำเสนอสวนผักสุขภาพดี รวมถึงอธิบายวิธีการขยายพันธุ์ ขั้นตอนการปลูก วิธีการดูแล
ตัวอย่างการออกแบบและการสร้างสวนผักสุขภาพดี
ภาพร่างการออกแบบสวนผักสุขภาพดีของนักเรียน
ภาพการสร้างสวนผักสุขภาพดีของนักเรียน
ตัวอย่างเกณฑ์การประเมิน
ข้อเสนอแนะสำหรับการปรับเปลี่ยนวิธีการดำเนินกิจกรรมให้เหมาะสมตามบริบทของผู้เรียน
- หากผู้สอนจัดการเรียนรู้โดยใช้หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เล่ม 1 หน่วย 4 การดำรงชีวิตของพืช ของ สสวท. ผู้สอนสามารถจัดกิจกรรมนี้ควบคู่กับการสอนเนื้อหาที่เกี่ยวข้องหรือแทนกิจกรรมที่คล้ายกันได้
- หากผู้เรียนไม่มีความรู้เกี่ยวกับผักสวนครัว ผักอนามัย ผักปลอดสารพิษ และผักอินทรีย์ ผู้สอนอาจให้ผู้เรียนลองค้นหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ต หรือพาผู้เรียนไปรู้จักผักชนิดต่าง ๆ ในตลาดหรือแหล่งปลูกผัก จากนั้นให้ผู้เรียนช่วยกันระดมความคิดและแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน ก่อนจะให้ผู้เรียนไปสำรวจชนิดของผักที่ครอบครัวนิยมนำไปใช้ประกอบอาหาร
- ผู้สอนอาจให้ผู้เรียนรวบรวมข้อมูลการปลูกผักสวนครัว การดูแล การป้องกันและกำจัดศัตรูพืชจากบุคคลที่มีประสบการณ์ในการปลูกผักสวนครัว หรือแหล่งเรียนรู้ที่มีความน่าเชื่อถือ
- ผู้สอนอาจให้ผู้เรียนแต่ละคนสร้างสวนผักสุขภาพดีไว้ที่บ้าน หรือแบ่งกลุ่มผู้เรียนเพื่อสร้างสวนผักสุขภาพดีไว้ที่โรงเรียน
- กรณีที่ผู้เรียนมีพื้นที่ปลูกจำกัด ผู้สอนสามารถปรับเปลี่ยนขนาดของพื้นที่ปลูกได้ตามความเหมาะสม หรืออาจให้ผู้เรียนปลูกผักในแนวตั้ง เช่น การจัดวางกระถางเรียงซ้อนกัน การแขวนกระถาง รวมถึงในกรณีที่ผู้เรียนไม่สามารถปลูกผักในดินได้ อาจให้ผู้เรียนปลูกผักแบบไฮโดรโปนิกส์ โดยผู้สอนอาจให้ความรู้เพิ่มเติมหรือให้ผู้เรียนสืบค้นข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการปลูกผักแบบไฮโดรโปนิกส์
- ผู้สอนอาจกำหนดสิ่งที่อยากให้ผู้เรียนบันทึกในส่วนความก้าวหน้าของสวนผักสุขภาพดี เช่น การเจริญเติบโตของผักที่ปลูกเป็นอย่างไร สภาพอากาศมีผลต่อการเจริญเติบโตของผักอย่างไร ปัญหาที่พบ หรือวิธีการแก้ไขที่ได้ดำเนินการแล้วในระหว่างการสร้างและการดูแลสวนผักสุขภาพดี
- ผู้สอนอาจให้ผู้เรียนนำเสนอสวนผักสุขภาพดีในรูปแบบวีดิทัศน์ โดยผู้สอนคัดเลือกผลงานของผู้เรียนที่น่าสนใจมานำเสนอและอภิปรายร่วมกันภายในห้อง
- ผู้สอนอาจให้ผู้เรียนนำผักที่ปลูกได้มาขายภายในโรงเรียน หรืออาจให้ผู้เรียนแข่งขันกันปลูกผักโดยเน้นคุณภาพและปริมาณของผักที่ปลูกได้
- ผู้สอนสามารถบูรณาการกิจกรรมนี้กับวิชาอื่น ๆ เช่น วิชาการงานอาชีพ วิชาศิลปะ วิชาภาษาไทย วิชาภาษาอังกฤษ
เมื่อผู้เรียนได้ทำกิจกรรม “สวนผักสุขภาพดี” ซึ่งเป็นตัวอย่างหนึ่งของแนวทางการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์นอกห้องเรียนเกี่ยวกับการปลูกผักสวนครัว ผู้เรียนจะได้ประยุกต์ใช้ความรู้เกี่ยวกับวิธีการขยายพันธุ์พืช ธาตุอาหารที่สำคัญของพืช และการเลือกใช้ปุ๋ยเพื่อปลูกผักสวนครัวผ่านการลงมือปฏิบัติจริง ผู้เรียนจะได้ฝึกทักษะการระบุปัญหา ความต้องการ และเงื่อนไข การรวบรวมข้อมูล การตัดสินใจในการตั้งเป้าหมาย การวางแผน การแก้ปัญหา ตลอดจนการสื่อสารเพื่อนำเสนอชิ้นงาน นอกจากนี้ ผู้เรียนจะได้ฝึกวินัย ความมุ่งมั่น และความรับผิดชอบในการสร้างและดูแลผักสวนครัว และฝึกความอดทนในการเฝ้ารอผักแต่ละชนิดที่ต้องใช้ระยะเวลาในการเจริญเติบโต รวมถึงช่วยให้ผู้เรียนตระหนักถึงคุณค่าของพืชที่ผู้เรียนลงมือปลูกด้วยตนเอง
การจัดการเรียนรู้นอกห้องเรียนจึงทำให้ผู้เรียนมีความรู้และความเข้าใจมากขึ้นผ่านการเรียนรู้จากประสบการณ์ตรง ผู้เรียนจะได้รับการพัฒนาทางด้านทักษะที่จำเป็นหลายทักษะ ด้านเจตคติ และด้านความตระหนักต่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และผู้เรียนยังได้รับแรงจูงใจในการเรียนรู้และปลูกฝังการมีคุณลักษณะของการเรียนรู้ตลอดชีวิต ซึ่งคุณลักษณะเหล่านี้ที่ได้จากการส่งเสริมและการพัฒนาผ่านการเรียนรู้นอกห้องเรียนควบคู่กับการเรียนรู้ในห้องเรียน จะเป็นส่วนหนึ่งของคุณลักษณะของผู้เรียนที่สังคมโลกคาดหวังและต้องการในอนาคตได้
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของนิตยสาร สสวท. ปีที่ 51 ฉบับที่ 244 กันยายน – ตุลาคม 2566
ผู้อ่านสามารถติดตามบทความที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ที่ https://emagazine.ipst.ac.th/244/4/
บรรณานุกรม
Hammerman, D. R., Hammerman, M. W., & Hammerman, E. L. (1994). Teaching in Outdoor. New York: Maryland.
OECD. (2019). Future of Education and Skills 2030 Concept Note. Retrieved April 25, 2023, from https://www.oecd.org/education/2030-project/teaching-and-learning/learning/skills/Skills_for_2030_concept_note.pdf
Parker, L. (2022). Outdoor Learning, a Pathway to Transformational Learning? Or Another Educational Gimmick? International Journal for Cross-Disciplinary Subjects in Education, 13(1), 4600–4611.
Parker, L. (2022). Outdoor Learning, a Pathway to Transformational Learning? Or Another Educational Gimmick? International Journal for Cross-Disciplinary Subjects in Education. Retrieved April 25, 2023, from https://doi.org/10.20533/ijcdse.2042.6364.2022.0565
กระทรวงศึกษาธิการ. (2560). ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด.
นันท์พัทธนันท์ เชื้อแก้ว. (2550). การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนโดยบูรณาการการเรียนรู้นอกห้องเรียนและการกระจ่างค่านิยม เพื่อเสริมสร้างความรู้และการปฏิบัติเพื่อสิ่งแวดล้อมของนักเรียนประถมศึกษา กรุงเทพมหานคร. วิทยานิพนธ์ปริญญาเอก, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. สืบค้นเมื่อ 25 สิงหาคม 2023, จาก https://doi.nrct.go.th/ListDoi/listDetail?Resolve_DOI=10.14457/CU.the.2007.1083
สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. (2550). การจัดการเรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้. กรุงเทพมหานคร: กระทรวงศึกษาธิการ.
สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. (2560). แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560 - 2579. กรุงเทพมหานคร: กระทรวงศึกษาธิการ.
อรนุช ลิมตศิริ. (2560). การศึกษานอกห้องเรียนเพื่อเสริมสร้างทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21. Veridian E-Journal, Silpakorn University, 10(3), 1643–1658.


