ฟิสิกส์นิวเคลียร์
การค้นพบกัมมันตภาพรังสี
ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ในปี ค.ศ. 1896 Henri Becquerel ค้นพบว่า เกลือของแร่ยูเรเนียมมีรังสีประหลาดสามารถทำให้ฟิล์มถ่ายรูปดำได้ทำให้เขาเป็นคนแรกที่ค้นพบกัมมันตภาพรังสี ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติซึ่งมีมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์
เบคเคอเรล เป็นคนแรกที่ทำการทดลองเกี่ยวกับการแผ่รังสีเอกซ์จากสารชนิดต่าง ๆ โดยการนำฟิล์มถ่ายรูปห่อสารประกอบยูเรเนียมแล้วใช้กระดาษห่อทับไว้อีกชั้นหนึ่งเพื่อไม่ให้แสงเข้า เมื่อนำชุดการทดลองไปวางไว้กลางแจ้งให้รับความร้อนจากแสงแดด แล้วนำฟิล์มไปล้างพบว่าฟิล์มจะดำทุกครั้งตอนแรกเบคเคอเรลคิดว่าการดำของฟิล์มเกิดจากรังสีเอกซ์ที่แผ่ออกมาจากสารประกอบยูเรเนียม เมื่อถูกความร้อนจากแสงแดด แต่มีครั้งหนึ่งเขาลืมชุดการทดลองไว้ในลิ้นชัก (จึงไม่ถูกแสงเลย) ปรากฏว่าฟิล์มที่ห่อชุดการทดลองดำคล้าย ๆ กับฟิล์มที่ถูกแสง เมื่อทำการทดลองหลาย ๆ ครั้งผลที่ปรากฏเป็นเช่นเดิม และยังพบว่ารอยดำจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับจำนวนอะตอมในสารประกอบรังสีที่แผ่ออกมานี้มีสมบัติเหมือนกับรังสีเอกซ์ กล่าวคือ มีความเข้มน้อยกว่ารังสีเอกซ์ และแผ่ออกมาตลอดเวลาโดยไม่จำเป็นต้องมีโฟตอนของแสงภายนอกมาให้พลังงาน ทั้งยังทำให้อากาศแตกตัวเป็นอิออนได้ดีกว่ารังสีเอกซ์ รังสีดังกล่าวได้ชื่อว่า กัมมันตภาพรังสี และธาตุที่แผ่รังสีนี้ออกมาเรียกว่า ธาตุกัมมันตรังสี
ภาพโรงงานพลังงานนิวเคลียร์
ที่มา : https://pixabay.com/ , Bru-nO
มาดามคูรี่ เชื่อว่ารังสีประหลาดมาจากธาตุเคมีในแร่ยูเรเนียม และได้ทำการทดลองค้นคว้าอย่างอดทน จนพบและแยกธาตุนั้นออกได้ แล้วให้ชื่อว่า เรเดียม ซึ่งแปลว่า ธาตุส่องแสง สมบัติที่น่าทึ่งของเรเดียมคือ ความสามารถในการปล่อยพลังงานออกมาในสภาพรังสีได้ตลอดเวลา เมื่อได้ศึกษาการปล่อยรังสีของเรเดียมและยูเรเนียมอย่างละเอียด พบว่าเรเดียมมีน้ำหนักลดไปเล็กน้อยหลังจากทิ้งไว้นาน ๆ
ค.ศ. 1899 รัทเธอร์ฟอร์ดพบว่าธาตุยูเรเนียมแผ่รังสีได้ 2 ชนิด และได้ตั้งชื่อรังสีที่มีอำนาจทะลุทะลวงต่ำกว่า รังสีแอลฟา และรังสีที่มีอำนาจทะลุทะลวงสูงว่า รังสีบีตา
ค.ศ. 1900 วิลลาร์ดพบรังสีแกมมา ซึ่งมีอำนาจทะลุทะลวงสูงกว่ารังสีบีตา
ค.ศ. 1900 เบคเคอเรล พบว่ารังสีบีตาคืออนุภาคอิเล็กตรอนที่มีความเร็วสูงมาก
ค.ศ. 1903 แรมเชย์ และซอดดี พบว่ารังสีแอลฟาคืออะตอมของฮีเลียมที่ขาดอิเล็กตรอนไป 2 ตัว หรือนิวเคลียสของฮีเลียม และรังสีแกมมาคือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความถี่สูงมาก (โดยมีความถี่สูงกว่ารังสีเอกซ์)
เลขมวล เลขอะตอมและสัญลักษณ์ของ Nucleus
นิวคลีออน คือ อนุภาคที่รวมกันอยู่ภายในนิวเคลียส ซึ่งหมายถึง โปรตอน (Proton, 11H) และนิวตรอน (Neutron, 01n) สัญลักษณ์ของ Nucleus เขียนได้เป็น z AX
X เป็นสัญลักษณ์ของ Nucleus นั้น
A เป็นเลขมวลของธาตุ หมายถึง จำนวน Nucleon ภายใน Nucleus หรือเป็นเลขจำนวนเต็มที่มีค่าใกล้เคียงกับมวล atom ในหน่วย u ของธาตุนั้น
Z เป็นเลขอะตอม หมายถึง จำนวนโปรตอนภายใน Nucleus
การเกิดกัมมันตภาพรังสี
-
เกิดจากนิวเคลียสในภาวะพื้นฐานรับพลังงานจำนวนมากทำให้นิวเคลียสกระโดดไปสู่ระดับพลังงานที่สูงขึ้นก่อนกลับสู่ภาวะพื้นฐาน Nucleus จะคายพลังงานออกในรูปโฟตอนที่มีพลังงานสูงย่านความถี่รังสีแกมมา
-
เกิดจากการที่นิวเคลียสบางอัน อยู่ในสภาพไม่เสถียร คือ มีอนุภาคบางอนุภาคมากหรือน้อยเกินไปลักษณะนี้นิวเคลียสจะปรับตัว คายอนุภาคแอลฟาหรือเบตาออกมา
สมมติฐานของ Rutherford และ Soddy เกี่ยวกับการสลายตัวของธาตุกัมมันตรังสี
-
ธาตุกัมมันตรังสีจะแตกตัวออกเป็นสารใหม่ด้วยการปลดปล่อยอนุภาคแอลฟาหรือบีตา, สารใหม่ที่ได้จากการแตกตัวจะเป็นอะตอมของธาตุใหม่ ซึ่งมีสมบัติทางเคมีผิดแผกไปจากอะตอมของธาตุเดิม และในบางครั้งอะตอมของธาตุใหม่จะเป็นธาตุกัมมันตรังสีซึ่งสามารถแยกกัมมันตรังสีต่อ ๆ ไปอีก
-
การสลายตัวที่เกิดขึ้นของธาตุกัมมันตรังสีไม่ขึ้น กับอิทธิพลของสภาพแวดล้อมภายนอกของนิวเคลียสเลย (เช่น ความดัน, อุณหภูมิ) แต่การสลายตัวนี้จะเป็นไปตามหลักของทางสถิติที่เกี่ยวกับโอกาส และกระบวนการสุ่ม และอัตราการสลายตัวของนิวเคลียสของธาตุกัมมันตรังสี เป็นสัดส่วนโดยตรงกับจำนวนของนิวเคลียสที่พร้อมจะสลายตัว
ตัวอย่างที่ 1 ทำไมฟิล์มที่แบคเคอเรลทิ้งไว้ในห้องทดลอง โดยไม่ถูกแสงแดดเลยจึงปรากฏดำเข้มกว่าฟิล์มที่ได้จากชุดการทดลองที่นำไปวางไว้กลางแดด
แนวคำตอบ เพราะการสลายตัวของรังสี (ซึ่งทำให้ฟิล์มเสีย) ไม่ขึ้นกับความร้อนหรือแสงแดดแต่อยู่ที่เวลาเท่านั้น
ตัวอย่างที่ 2 เบคเคอเรลทราบได้อย่างไรว่ารังสีที่ออกมาจากสารประกอบของยูเรเนียมไม่ใช่รังสีเอกซ์
แนวคำตอบ เพราะรังสีเอกซ์จะหมดไปทันทีถ้าไม่มีไฟฟ้าแรงสูงป้อนเข้าไป
ตัวอย่างที่ 3 เบคเคอเรลค้นพบกัมมันภาพรังสีจากสารประกอบในข้อใด
- ทอเรียม 2. ตะกั่ว 3. เรเดียม 4. ยูเรเนียม
เฉลย ข้อที่ถูกต้องคือ ข้อ 4 ยูเรเนียม
ตัวอย่างที่ 4 จงตอบคำถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง
- ต้นกำเนิดของกัมมันตรังสีเกิดที่ใด
แนวคำตอบ เกิดที่นิวเคลียส
- ผู้ค้นพบกัมมันตรังสีคนแรก คือใคร
แนวคำตอบ เบคเคอเรล
- เบคเคอเรล ได้เตรียมมการทดลองเกี่ยวกับสารประกอบของยูเรเนียมอย่างไร เพื่อให้สารประกอบของยูเรเนียมแผ่รังออกมา
แนวคำตอบ เขาเตรียมสารประกอบยูเรเนียมไว้กับฟิล์มซึ่งห่อกระดาษดำ บางชุดเก็บไว้ในห้องทดลอง และบางชุดนำไปตากแดดไว้
ตัวอย่างที่ 5 จากการทดลองหากัมมันตภาพรังสีของสาร A โดยใช้วิธีของเบคเคอเรล ปรากฏว่าไม่มีรอยดำบนฟิล์ม เมื่อนำฟิล์มนั้นไปล้าง แสดงว่า A เป็นสารอย่างไร
-
เสถียร
-
เสถียรหรือแผ่รังสีแอลฟา
-
ไม่เสถียรหรือแผ่รังสีบีตา
-
แผ่รังสีแอลฟาและรังสีบีตา
เฉลยข้อที่ถูกต้องคือ ข้อ 2 เสถียรหรือแผ่รังสีแอลฟา
แหล่งที่มา
กฤตนัย (สมชาย) จันทรจตุรงค์. (มมป.). ฟิสิกส์ เรื่องที่ 17,18 ฟิสิกส์อะตอม,ฟิสิกส์นิวเคลียร์. นนทบุรี:ธรรมบัณฑิต.
ช่วง ทมทิตชงค์ และคณะ. (2537). ฟิสิกส์ 5. กรุงเทพฯ: ไฮเอ็ดพับลิชชิ่ง.
น้ำฝน โพธิ์สิงห์ และคณะ. (2556). พลังงานนิวเคลียร์ . สืบค้นเมื่อ 6 พฤษภาคม 2563, จาก http://fondawnnanmar607.blogspot.com/2013/09/blog-post_5.html
กลับไปที่เนื้อหา
ชนิดของกัมมันตภาพรังสี
กัมมันตภาพรังสีมี 3 ชนิด คือ รังสีแอลฟา (alpha) รังสีบีตา (Beta) และรังสีแกมมา (gamma)
สมบัติของกัมมันตภาพรังสี
รังสีแอลฟา (alpha) คือ นิวเคลียสของอะตอมของธาตุฮีเลียมซึ่งประกอบด้วยโปรตอน 2 อนุภาค และนิวตรอน 2 อนุภาค มีมวลประมาณ 4U และมีประจุ +2e โดยเฉลี่ย มีพลังงานประมาณ 4 – 10 MeV เมื่อเคลื่อนที่ผ่านอากาศจะทำให้อากาศที่รังสีผ่านเกิดการแตกตัวเป็นอิออนได้จำนวนมาก (เพราะอนุภาคแอลฟามีขนาดใหญ่และมีประจุมากกว่ารังสีชนิดอื่น จึงเกิดชนและเหนี่ยวนำอะตอมของอากาศให้แตกตัวได้มาก) ทำให้อนุภาครังสีแอลฟามีการสูญเสียพลังงานอย่างรวดเร็วจึงมีอำนาจการทะลุผ่านน้อย (สามารถวิ่งผ่านอากาศไปได้ไกลเป็นระยะทางประมาณ 3-5 เซนติเมตรเท่านั้น) ดังนั้นเพียงกระดาษแผ่นบาง ๆ ก็จะสามารถกั้นรังสีชนิดนี้ไม่ให้ผ่านได้ และจากมวลและประจุของอนุภาคแอลฟา
รังสีบีตา (Beta) คือ อิเล็กตรอน เป็นอนุภาคมีมวล, มีประจุไฟฟ้าลบ, เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงมากเกือบเท่าความเร็วแสง, มีมวลน้อยมากเมื่อเทียบกับอำนาจทะลุทะลวงปานกลาง
-
การสลายตัวให้บีตาบวก (หรือโพซิตรอน (positron)) เกิดจากการที่ proton 1 ตัว ภายใน Nucleus เปลี่ยนสภาพกลายเป็น Neutron 1 ตัว ทำให้ Nucleus ใหม่ที่เกิดมีเลข atom ลดลง 1 แต่เลขมวลคงเดิมพร้อมกับให้โพซิตรอนออกมา
-
การสลายตัวให้บีตาลบ (หรือ electron) เกิดจากการที่ neutron 1 ตัว ภายใน Nucleus เปลี่ยนสภาพกลายเป็น proton 1 ตัว ภายใน Nucleus ทำให้ Nucleus ที่เกิดใหม่มีเลข atom เพิ่มขึ้น แต่เลขมวลคงเดิมพร้อมกับให้อิเล็กตรอนออกมา เมื่อเคลื่อนที่ผ่านอากาศจะทำให้อากาศแตกตัวเป็นอิออนได้แต่น้อยกว่ารังสีแอลฟาและสามารถวิ่งฝ่าอากาศได้เป็นระยะทางประมาณ 1-3 เมตร รังสีบีตาจึงต้องใช้กระดาษหนา ๆ หรือแผ่นอะลูมิเนียมบาง ๆ กั้น
ภาพความสามารถในการเคลื่อนที่ผ่านสิ่งกีดขวางของรังสี
ที่มา : https://kruannchemistry.wordpress.com/2012/09/26/ธาตุกัมมันตรงสี/
รังสีแกมมา (Gamma rays) เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามีความยาวช่วงคลื่นสั้นมาก, ความถี่สูง (มากกว่ารังสี X) มีความเร็วเท่ากับแสงในสุญญากาศ, มีอำนาจทะลวงสูง, ไม่มีประจุไฟฟ้า (จึงไม่เบี่ยงเบนในสนามไฟฟ้าหรือในสนามแม่เหล็ก) ผ่านคอนกรีตหนา 1/3 เมตร ได้เช่นเดียวกับรังสีเอกซ์ เนื่องจากรังสีแกมมาเป็นรังสีที่ไม่มีมวลและประจุไฟฟ้า จึงทำให้สสารที่รังสีนี้ผ่านเกิดการแตกตัวได้น้อยมาก
การสลายตัวให้รังสีแกมมา (Gamma decay ) รังสีเกิดจากการเปลี่ยนระดับพลังงานใน Nucleus ถ้า Nucleus อยู่ในระดับพลังงานสูงก่อนที่จะกลับสู่ภาวะพื้นฐาน Nucleus จะต้องคายพลังงานออกในรูปของรังสี Gamma
ธรรมชาติของกัมมันตรังสี
-
ทำปฏิกิริยากับสารเคมีที่ฉาบไว้ที่ฟิล์มถ่ายรูป เช่นเดียวกับแสง
-
ทำให้เกิดประจุไฟฟ้าขึ้นโดยรอบในอากาศเพราะรังสีทำให้อะตอมของอากาศเกิด Ionization
-
ทำให้เกิดการเรืองแสงขึ้นที่สารบางชนิดได้
-
มีผลทางกายภาพต่อสิ่งมีชีวิต เช่น สามารถฆ่าแบคทีเรียได้
-
จะแผ่รังสีอยู่ตลอดเวลาและตัวเองจะเปลี่ยนเป็นธาตุอื่น ตามเวลาที่เปลี่ยนไป
การตรวจสอบรังสี
-
ใช้ฟิล์มถ่ายรูปซึ่งเรียกว่า Film Badges เป็นกลักสี่เหลี่ยมบรรจุฟิล์มไว้
-
ใช้ Electroscope (ถ้าเป็น Dosimeter จะบอกปริมาณรังสีบนสเกลด้วย)
- Geiger – Muller Counter
ตัวอย่างที่ 1 จงเลือกข้อความให้เหมาะสมที่สุดกับกัมมันตรังสี แอลฟา, บีตา, แกมมา
-
มีอำนาจทะลุทะลวงสูงสุด ตอบ รังสีแกมมา
-
ถูกดูดกลืน (ผ่านไม่ได้) โดยง่าย โดยแผ่นอะลูมิเนียมบาง ตอบ รังสีแอลฟา
-
มีความสามารถในการทำให้แก๊สมีการแตกตัวเป็นไอออนได้ดี ตอบ รังสีแอลฟา
-
ต้องใช้วัสดุหนาในการกั้นรังสี ชนิดนั้น ตอบ รังสีแกมมา
-
ไม่สามารถเบี่ยงเบนด้วยสนามไฟฟ้า ตอบ รังสีแกมมา
-
ระหว่าง รังสีแอลฟา กับรังสีบีตา แนวทางเคลื่อนที่โค้ง ซึ่งมีรัศมีความโค้งมาก เมื่อเคลื่อนที่ผ่านสนามแม่เหล็ก ตอบ รังสีแอลฟา (รังสีมาก แปลว่าเบนน้อย)
-
ระหว่าง รังสีแอลฟา กับรังสีบีตา (ถ้าไม่คิดเครื่องหมาย) อัตราส่วนระหว่างประจุไฟฟ้ากับมวล (q/m) มีค่ามากที่สุด ตอบ รังสีบีตา
ตัวอย่างที่ 2 ทำไมเราจึงทราบว่ารังสี แอลฟา, บีตา, แกมมา มีประจุไฟฟ้าบวก, ลบ และเป็นกลาง
ตอบ ดูจากการเบนของรังสีในสนามแม่เหล็ก โดยรังสีแกมมาจะไม่เบนในสนามแม่เหล็กจึงไม่มีประจุไฟฟ้า รังแอลฟาจะเบนในสนามแม่เหล็กเหมือนประจุบวกทั่วไป และรังสีบีตาจะเบนในสนามแม่เหล็กแต่มีทิศตรงข้ามกับรังสีแอลฟาจึงเป็นประจุไฟฟ้าลบ และรังสีบีตาจะเบนมากที่สุด รัศมีความโค้งสั้น
ตัวอย่างที่ 3 จงพิจารณาข้อความต่อไปนี้ข้อใดที่เป็นสมบัติของรังสีแอลฟา
-
เมื่อเคลื่อนที่ผ่านบริเวณที่มีสนามแม่เหล็ก แนวการเคลื่อนที่เป็นแนวโค้ง
-
มีความสามารถในการทำให้แก๊สแตกตัวเป็นอิออนได้
-
สามารถทะลุผ่านแผ่นกระดาษ หนา ๆ ได้
คำตอบที่ถูกต้องคือ
-
ข้อ A เท่านั้น
-
ข้อ B เท่านั้น
-
ข้อ A, B
-
ข้อ A, B และ C
เฉลย ข้อที่ถูกต้องคือ ข้อ 3 เพราะสมบัติของรังสีแอลฟาจะเคลื่อนที่ผ่านบริเวณที่มีสนามแม่เหล็ก แนวการเคลื่อนที่เป็นแนวโค้ง และมีความสามารถในการทำให้แก๊สแตกตัวเป็นอิออนได้
ตัวอย่างที่ 4 จงพิจารณาข้อความต่อไปนี้ข้อใดเกี่ยวข้องกับการเกิดของอนุภาคบีตาลบ
-
อิเล็กตรอนที่มีอยู่เดิมในนิวเคลียส
-
อิเล็กตรอนที่วิ่งวนรอบนิวเคลียส
-
การเปลี่ยนแปลงโปรตอนเป็นนิวตรอนในนิวเคลียส
-
การเปลี่ยนแปลงนิวตรอนเป็นโปรตอนในนิวเคลียส
เฉลยข้อที่ถูกต้องคือ ข้อ 4 อนุภาคบีตาลบ เพราะเกิดจากการเปลี่ยนแปลงนิวตรอนเป็นโปรตอนในนิวเคลียส
ตัวอย่างที่ 5 ธาตุกัมมันตรังสีชนิดหนึ่งให้รังสีชนิดหนึ่งออกมาโดยมีคุณสมบัติดังนี้
-
เมื่อตรวจสอบด้วยเครื่องไกเกอร์เคาว์เตอร์จะไม่ทำงาน
-
เมื่อวัดระยะการผ่านทะลุสิ่งกีดขวางจะได้ไกลประมาณ 60 มิลลิเมตร ในอากาศ
-
ต้องใช้สนามแม่เหล็กที่มี Flux density สูงมาก ๆ จึงจะทำให้รังสีที่แผ่ออกมาจากธาตุนี้เบี่ยงเบนได้
รังสีชนิดนี้ คือข้อใด
-
รังสีแอลฟา
-
รังสีบีตา
-
รังสีแกมมา
-
ทั้งรังสีแอลฟา และรังสีแกมมา
เฉลยข้อที่ถูกต้องคือ ข้อ 2 รังสีบีตา เพราะสามารถเบี่ยงเบนในสนามไฟฟ้าและสนามแม่เหล็กได้ มีความเร็วสูงมากเกือบเท่าแสง และอำนาจทะลุทะลวงปานกลางสามารถวิ่งฝ่าอากาศได้เป็นระยะทางประมาณ 1-3 เมตร รังสีบีตาจึงต้องใช้กระดาษหนา ๆ หรือแผ่นอะลูมิเนียมบาง ๆ กั้น
แหล่งที่มา
กฤตนัย (สมชาย) จันทรจตุรงค์. (มมป.). ฟิสิกส์ เรื่องที่ 17,18 ฟิสิกส์อะตอม,ฟิสิกส์นิวเคลียร์. นนทบุรี:ธรรมบัณฑิต.
ช่วง ทมทิตชงค์ และคณะ. (2537). ฟิสิกส์ 5. กรุงเทพฯ: ไฮเอ็ดพับลิชชิ่ง.
ธิดารัตน์ แสงฮวด. (2557). ธาตุกัมมันตรังสี. สืบค้นเมื่อ 6 พฤษภาคม 2563, จาก https://kruannchemistry.wordpress.com/2012/09/26/ธาตุกัมมันตรงสี/
กลับไปที่เนื้อหา
ปฏิกิริยานิวเคลียร์
ปฏิกิริยานิวเคลียร์ คือ กระบวนการเกิดการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบที่นิวเคลียส โดยทั่วไปปฏิกิริยานิวเคลียร์เกิดจากการยิงอนุภาคต่าง ๆ เช่น นิวตรอน, โปรตอน, ดิวเทอรอน, แอลฟา ที่ถูกเร่งให้มีความเร็วสูง ชนเป้าซึ่งเป็นนิวเคลียสของธาตุ ทำให้เปลี่ยนองค์ประกอบของนิวเคลียสเดิม หรือเกิดนิวเคลียสของธาตุใหม่ขึ้น เช่น ยิงดิวเทอรอนไปที่ C – 12
126C + 21H -----> 137N + 10n
ปฏิกิริยานี้
อนุภาคที่วิ่งเข้าชน คือ 21H
นิวเคลียสที่เป็นเป้า คือ 126C
นิวเคลียสของธาตุใหม่ คือ 137N
อนุภาคที่เกิดขึ้นมา คือ 10n
จึงเขียนเป็นสมการได้ว่า x + a ---> y + b หรือเขียนย่อ ๆ ว่า x(a, b)y และเรียกชื่อปฏิกิริยานี้ว่า (a, b) ของนิวเคลียส x ดังนั้น สมการตอนแรก ย่อมเรียก ชื่อปฏิกิริยาว่า (d, n) ของนิวเคลียส 126C
การเกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ ต้องเป็นไปตามหลักดังนี้
-
หลักการคงที่ของจำนวนนิวคลีออน คือ ผลบวกของเลขมวลก่อนและหลังปฏิกิริยาต้องเท่ากัน
-
หลักการคงที่ของประจุไฟฟ้า
-
หลักการคงที่ของมวลและพลังงาน คือ ผลรวมของมวลและพลังงานก่อนปฏิกิริยากับหลังปฏิกิริยาต้องเท่ากัน
-
หลักการคงที่ของโมเมนตัมเชิงเส้น
ไอโซโทปของไฮโดรเจนมี 3 ชนิด ได้แก่
-
ไฮโดรเจนธรรมดามีอยู่ 99.985 % ในธรรมชาติ มีมวล 1.0078 u
-
ดิวทีเรียม (Deuterium) มีอยู่ 0.015% ในธรรมชาติ มีมวล 2.0141 u
-
ทริเตียม (Tritium) ส่วนใหญ่เกิดจากปฏิกิริยานิวเคลียร์ มีมวล 3.0160 u
เพื่อความสะดวกในการเรียก นักวิทยาศาสตร์ นิยามต่อไปนี้
-
ใช้สัญลักษณ์ A แทนจำนวนนิวคลีออนในนิวเคลียส เรียกว่า mass number
-
ใช้สัญลักษณ์ Z แทนจำนวนโปรตอนในนิวเคลียส ซึ่งเท่ากับจำนวนอิเล็กตรอนในอะตอม ดังนั้น Z คือ atomic number
-
ให้ n แทน จำนวนนิวตรอนในนิวเคลียส
-
ทั้งโปรตอนและนิวตรอนเรียกรวม ๆ กันว่า นิวคลีออน (nucleon)
-
นิวเคลียสของอะตอมไฮโดรเจนปกติ เรียกว่า โปรตอน (p)
-
นิวเคลียสของดิวทีเรียม เรียกว่า ดิวเทอรอน (deuteron, d)
-
นิวเคลียสของทริเตียม เรียกว่า ทริตอน (triton, t)
-
สัญลักษณ์ที่ใช้แทนนิวไคลด์ คือ AZX ที่ควรทราบได้แก่
11H หมายถึง ไฮโดรเจนนิวเคลียส หรือ โปรตอน
21H หมายถึง ดิวทีเรียมนิวเคลียส หรือ ดิวทีรอน
31H หมายถึง ทริเตียมนิวเคลียส หรือ ทริตอน
10n หมายถึงนิวตรอน
0-1e หมายถึง อิเล็กตรอน
0+1e หมายถึง โพสิตรอน
32H หมายถึง Helium -3 เป็นไอโซโทปของฮีเลียม
42H หมายถึง นิวเคลียสของฮีเลียมปกติ
ตัวอย่างที่ 1 ความสัมพันธ์ระหว่างเลขมวลอะตอม Z และเลขมวล A เมื่อจำนวนนิวตรอนในนิวเคลียสเท่ากับ N คือข้อใด
-
A = Z + N 2. A = Z – N
-
A = N/Z 4. A = N – Z
เฉลยคำตอบที่ถูกต้องคือ ข้อ 1 เพราะเลขมวล = จำนวน P + จำนวน n
A = Z + N
ตัวอย่างที่ 2 จงพิจารณาอะตอมของ 21084Po ข้อใดถูกต้อง
-
มีจำนวนนิวคลีออน = 210 จำนวนนิวตรอน = 84
-
มีจำนวนอิเล็กตรอน = 84 จำนวนนิวตรอน = 126
-
มีจำนวนอิเล็กตรอน = 126 จำนวนโปรตรอน =84
-
มีจำนวนนิวคลีออน =210 จำนวนอิเล็กตรอน = 126
เฉลยคำตอบที่ถูกต้องคือ ข้อ 2 21084Po แสดงว่า เลขอะตอมเป็น 84 มีจำนวนโปรตอน 84 ตัว (มีจำนวนอิเล็กตรอน 84 ตัว ในอะตอมที่เป็นกลาง) และมีนิวตรอน
เท่ากับ 210 – 84 =126 ตัว
ตัวอย่างที่ 3 จงพิจารณาข้อความต่อไปนี้ ข้อใดกล่าวถูกต้อง เกี่ยวกับเลขอะตอมของธาตุ
A จำนวนอิเล็กตรอนที่อยู่นอกนิวเคลียสในอะตอมของธาตุที่เป็นกลาง
B จำนวนโปรตอนที่อยู่ในนิวเคลียส
C ผลต่างระหว่างจำนวนนิวเคลียสกับจำนวนนิวตรอนในนิวเคลียส
-
ข้อ A, B และ C
-
ข้อ A และ B
-
ข้อ B และ C
-
ข้อ B
เฉลย คำตอบที่ถูกต้องคือ ข้อ 1 เลขอะตอมของธาตุ แทนจำนวนโปรตอนในนิวเคลียส ซึ่งจะมีค่าเท่ากับจำนวนอิเล็กตรอนที่อยู่นอกนิวเคลียสในอะตอมของธาตุที่เป็นกลาง และมีค่าเท่ากับผลต่างระหว่างจำนวนนิวเคลียสกับจำนวนนิวตรอนในนิวเคลียส
ตัวอย่างที่ 4 ธาตุที่มีมวลมากกว่ายูเรเนียมทำให้เกิดได้ ตามข้อใด
-
ทำให้นิวเคลียสยูเรเนียมจับดิวทีรอน
-
ทำให้นิวเคลียสยูเรเนียมจับโปรตอนแล้วสลายให้โพสิตรอน
-
ทำให้นิวเคลียสยูเรเนียมจับนิวตรอนแล้วสลายให้อิเล็กตรอน
-
ทำให้นิวเคลียสยูเรเนียมจับนิวตรอนแล้วสลายให้โพสิตรอน
เฉลย คำตอบที่ถูกต้องคือ ข้อ 3 ธาตุที่มีมวลมากกว่ายูเรเนียม ทำให้เกิดได้โดยทำให้นิวเคลียสยูเรเนียมจับนิวตรอนแล้วสลายให้อิเล็กตรอน
ตัวอย่างที่ 5 23892U สลายตัวให้แอลฟา 1 อนุภาค และบีตา 2 อนุภาค จะได้ธาตุใหม่ที่มีเลขมวลและเลขอะตอมเป็นเท่าไร
-
เลขมวล 234 และเลขอะตอม 92 2. เลขมวล 92 และเลขอะตอม 235
-
เลขมวล 242 และเลขอะตอม 92 4. เลขมวล 242 และเลขอะตอม 91
เฉลยคำตอบที่ถูกต้องคือ ข้อ 1
23892U -----> 23492X + 42He + 2 0-1e
ตัวอย่างที่ 6 ยิงนิวตรอนตัวหนึ่งเข้ากับนิวเคลียสของ 23692X ซึ่งจะทำให้เกิดสนามนิวตรอน นิวเคลียส 14156Y และนิวเคลียสของอะตอม Z จงหาค่าเลขมวล และเลขอะตอมของ Z
-
50, 36 2. 92, 33
-
94, 33 4. 92, 36
เฉลยคำตอบที่ถูกต้องคือ ข้อ 4
23692X ----> 14156Y + 9236Z + 310n
ตัวอย่างที่ 7 อะตอมของธาตุ 19678Pt และ 19779Au จะมีจำนวนอะไรเท่ากัน
-
นิวคลีออน
-
นิวตรอน
-
โปรตอน
-
อิเล็กตรอน
เฉลยคำตอบที่ถูกต้องคือ ข้อ 2 19678Pt มีนิวตรอน เท่ากับ 196 – 78 = 118 ตัว
19779Au มีนิวตรอน เท่ากับ 197 – 79 = 118 ตัว
ตัวอย่างที่ 8 ถ้าส่วนหนึ่งของการสลายตัวของนิวเคลียสกัมมันตรังสี เป็นดังนี้
23892U ---> 23490Th ---> 23491Pa ---> 23492U
รังสีที่ได้จากการสลายตัวตามลำดับ คือข้อใด
-
แอลฟา, บีตา, บีตา
-
แอลฟา, บีตา, แอลฟา
-
บีตา, บีตา, แอลฟา
-
บีตา, แอลฟา, บีตา
เฉลย คำตอบที่ถูกต้องคือ ข้อ4 ถ้ามวลลดลง 4 amu. จะปล่อยรังสีแอลฟา 1 ตัว (ซึ่งจะทำให้ประจุลดลง 2 ด้วย) ถ้ามวลเท่าเดิม แต่ประจุเพิ่ม 1 จะปล่อยอิเล็กตรอน 1 ตัว
แหล่งที่มา
กฤตนัย (สมชาย) จันทรจตุรงค์. (มมป.). ฟิสิกส์ เรื่องที่ 17,18 ฟิสิกส์อะตอม,ฟิสิกส์นิวเคลียร์. นนทบุรี:ธรรมบัณฑิต.
ช่วง ทมทิตชงค์ และคณะ. (2537). ฟิสิกส์ 5. กรุงเทพฯ: ไฮเอ็ดพับลิชชิ่ง.
ทัศนพล บุณยรัตนสุนทร. (มมป). สมบัติของธาตุและสารประกอบ. สืบค้นเมื่อ 6 พฤษภาคม 2563, จาก http://119.46.166.126/self_all/selfaccess10/m4/chemical4_2/Lesson4/Lesson4.php
กลับไปที่เนื้อหา
เวลาครึ่งชีวิต
เวลาครึ่งชีวิต คือเวลาที่สารนั้นใช้ในการสลายตัวไปจนเหลือครึ่งหนึ่งของปริมาณเดิม สมมติสารกัมมันตรังสีอย่างหนึ่ง มีมวล No กิโลกรัม มีมวลครึ่งชีวิต = t ชั่วโมง หมายความว่า
ในเวลา t ชั่วโมง ต่อไป จะเหลือ N0 /2 กิโลกรัม
ในเวลา t ชั่วโมง ต่อไป จะเหลือ (N0 /2)/2 = N0 /22 กิโลกรัม
ในเวลา t ชั่วโมง ต่อไป จะเหลือ (N0 /22 )/2 = N0 /23 กิโลกรัม
ในเวลา n = ช่วงของเวลาครึ่งชีวิต (Half life) จะเหลือ N0 /2n
จะได้ N = N0 /2n
N คือ มวลที่เหลือ
N0 คือ มวลในตอนแรก
N คือ จำนวนช่วงของ เวลาครึ่งชีวิต (Half life)
หมายเหตุ ถ้าเวลาครึ่งชีวิตเป็น T ชั่วโมง
เวลา t ชั่วโมง จะเป็นกี่ช่วงของ เวลาครึ่งชีวิต (Half life)
T ชั่วโมง เป็น 1 ช่วง
ดังนั้น t ชั่วโมง เป็น t /T ช่วง
จะได้ จำนวนช่วง เวลาครึ่งชีวิต (Half life) (n) = t /T
การคำนวณ เวลาครึ่งชีวิต (Half life) ที่ไม่เป็นครึ่งหนึ่งพอดี
ถ้าเวลาครึ่งชีวิตของสารกัมมันตรังสีเป็น T วัน
ดังนั้น จะได้ว่า t วัน ย่อมเป็น t /T ช่วง (ของเวลาครึ่งชีวิต (Half life))
N = N0 /2n
N/N0 = 1/2n
= (1/2)n
จะได้ N/N0 = (1/2)t/T
กฎการสลายตัว
การสลายตัว คือ การที่นิวเคลียสของสารอยู่ในสภาวะถูกกระตุ้น จะปล่อยอนุภาคออกมาแล้วเปลี่ยนเป็นนิวเคลียสของธาตุใหม่
กัมมันตภาพ (Activity) คือ อัตราการสลายตัวของสารกัมมันตรังสี
ค.ศ. 1902 รัทเทอร์ฟอร์ดและซอดดี (Soddy) ได้ตั้งกฎการสลายตัวของสารกัมมันตรังสีว่า การสลายตัวของนิวเคลียสนั้น ไม่สามารถบอกได้ว่านิวเคลียสตัวใดจะสลายตัวเมื่อใด บอกได้เพียงความน่าจะเป็น (Probability) ของการสลายตัวของนิวเคลียสเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม พบว่า การสลายตัวของธาตุกัมมันตรังสี จะเป็นไปตามหลักสถิติของโอกาสและกระบวนการสุ่ม คือ ในขณะที่จำนวนนิวเคลียสธาตุกัมมันตรังสีนั้นมีอยู่มากนิวเคลียสที่สลายตัวจะมีจำนวนมากและเมื่อจำนวนนิวเคลียสมีอยู่น้อย นิวเคลียสที่สลายตัวก็จะมีจำนวนน้อย นิวเคลียสจะไม่ได้สลายตัวพร้อมกันหมด แต่ทุก ๆ นิวเคลียสจะมีโอกาสในการสลายตัวเท่า ๆ กัน
ดังนั้นที่เวลาหนึ่ง ๆ อัตราการสลายตัวของนิวเคลียสธาตุกัมมันตรัง จะแปรผันโดยตรงกับจำนวนของนิวเคลียสธาตุกัมมันตรังสีชนิดนั้นที่มีอยู่ในขณะนั้น
ถ้าให้ที่เวลา t ใด ๆ มีจำนวนนิวเคลียสของธาตุกัมมันตรังสีอยู่จำนวน N นิวเคลียส (อะตอม) เมื่อเวลาผ่านไปช่วงเวลาสั้น ๆ เป็น Δt มีนิวเคลียสสลายตัวไปเป็นจำนวน ΔN (ในช่วงเวลา Δt นั้น) อัตราการสลายตัว คือ จำนวนนิวเคลียสที่สลาย (ΔN) ต่อเวลาที่ใช้ (Δt) จะแปรผันตรงกับจำนวนนิวเคลียส (N) ขณะนั้น
อัตราการสลายตัว = ΔN/Δt แปรผันตรงกับ N
หรือเขียนเป็นสมการได้คือ ΔN/Δt = - λN
เมื่อ λ คือ ค่าคงตัวของการสลายตัวของนิวเคลียสธาตุกัมมันตรังสี (ซึ่งจะขึ้นกับชนิดของธาตุกัมมันตรังสีหนึ่ง ๆ) เรียกว่า ค่าคงตัวการสลายตัว (decay constant หน่วยเป็นต่อวินาที หรือ s-1) ส่วนเครื่องหมายลบ ในสมการแสดงถึงการสลายตัวที่เป็นการเปลี่ยนแปลงแบบลดจำนวนลงของนิวเคลียส
นักวิทยาศาสตร์ พบว่า มีช่วงเวลาอันหนึ่ง เป็นช่วงเวลาที่คงที่สำหรับการสลายตัวของธาตุกัมมันตรังสี คือ เวลาที่จะทำให้ธาตุกัมมันรังสีสลายตัวจนเหลือครึ่งหนึ่งของจำนวนตั้งต้น (คือ เป็นเวลาที่จะทำให้ m = m0 /2) ช่วงเวลาดังกล่าวนี้จะเรียกว่า เวลาครึ่งชีวิต Half life ใช้สัญลักษณ์เป็น T1/2) กล่าวคือ เมื่อเวลาผ่านไปเท่ากับเวลาครึ่งชีวิต (t = T1/2 ) จะทำให้ธาตุกัมมันตรังสีสลายตัวจนเหลือครึ่งหนึ่งของจำนวนตั้งต้น (m = m0 /2) และเวลาครึ่งชีวิตจะสัมพันธ์กับค่าคงที่การสลายตัวตามสูตร T1/2 = 0.693/ λ
และเนื่องจากค่าคงตัวการสลายเป็นค่าคงที่สำหรับธาตุกัมมันตรังสีชนิดหนึ่ง ๆ ดังนั้น ช่วงเวลาครึ่งชีวิต (T1/2) จึงต้องเป็นค่าที่คงที่สำหรับธาตุกัมมันตรังสีชนิดหนึ่ง ๆ ด้วย กล่าวคือ ไม่ว่าจำนวนธาตุกัมมันตรังสีเริ่มต้นจะเป็นเท่าไรช่วงเวลาที่จะสลายจนเหลือครึ่งหนึ่งของจำนวนเริ่มต้นนั้นจะเท่ากันเสมอ เช่น ถ้ามีกัมมันตรังสีชนิดหนึ่งเริ่มต้นมีอยู่ 200 หน่วย สลายตัวจนเหลือครึ่งหนึ่ง คือ 100 หน่วย จะใช้เวลาเท่ากันกับ การสลายตัวจาก 100 หน่วยไปจนเหลือครึ่งคือ 50 หน่วย และจะใช้เวลาเท่ากันกับการสลายตัวจาก 50 หน่วยไปจนเหลือครึ่ง คือ 25 หน่วย (ช่วงเวลาดังกล่าวจึงเรียกว่า เวลาครึ่งชีวิต)
ตัวอย่างที่ 1 ข้อใดต่อไปนี้คือความหมายของค่าสลายตัวคงที่
-
อัตราการแผ่รังสีของอะตอมกัมมันตภาพรังสีจำนวน 1 โมล
-
โอกาสที่ 1 นิวเคลียสจะแผ่รังสีได้ใน 1 หน่วยเวลา
-
ส่วนกลับของครึ่งชีวิตที่มีหน่วยเป็นต่อวินาที
-
กัมมันตภาพของเรเดียม -226 จำนวน 1 กรัม
เฉลย คำตอบที่ถูกต้อง คือ ข้อ 2 เพราะ ค่าสลายตัวคงที่ คือโอกาสที่ 1 นิวเคลียสจะแผ่รังสีได้ใน 1 หน่วยเวลา
ตัวอย่างที่ 2 ละอองกัมมันตรังสีที่ปนเปื้อนมากับนมผงลอยลมจากรัสเชีย ทำให้ประเทศยุโรปผลิตนมเปื้อนสารรังสีส่งมาขายยังประเทศไทย สารกัมมันตรังสีที่ปนเปื้อนมีหลายชนิด สมมติว่าทุกชนิดมีปริมาณของละอองใกล้เคียงกันสารที่มีครึ่งชีวิตเท่าใดที่จะเป็นปัญหามากที่สุด (นมผงที่มีรังสีปนเปื้อนมาถึงไทยใช้เวลา ประมาณ 4 เดือน)
-
ยูเรเนียม -235 7.1 x 102 ปี
-
ไอโอดีน -131 8.0 x 100 วัน
-
ซีเซียม -137 3.0 x 101 ปี
-
เงิน -110 2.4 x 101 วินาที
เฉลย คำตอบที่ถูกต้อง คือ ข้อ 3 เพราะ ข้อ 2, 4 สลายหมดเร็ว อันตรายน้อย (เพราะสลายไปมาก ก่อนถึงประเทศไทย)
ข้อ 1 แผ่ใช้เวลานานเกินไป จึงแผ่ออกมาน้อยมาก
ข้อ 3 แผ่รังสีออกมาค่อนข้างมาก ในช่วงเวลา 3 ปี, 6 ปี
ตัวอย่างที่ 3 ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับ ความหมายของ ไอโซโทปชนิดหนึ่งมีครึ่งชีวิต 8 ปี
-
เวลาผ่านไป 1 ปี 1/8 ของไอโซโทปได้สลายตัวไป
-
เวลาผ่านไป 1 ปี 1/8 ของไอโซโทปยังคงเหลืออยู่
-
เวลาผ่านไป 4 ปี 1/4 ของไอโซโทปได้สลายตัวไป
-
เวลาผ่านไป 16 ปี ไอโซโทปยังคงเหลืออยู่
เฉลย คำตอบที่ถูกต้อง คือ ข้อ 4 เพราะเหลืออีก 1/4 ของเดิม
แหล่งที่มา
กฤตนัย (สมชาย) จันทรจตุรงค์. (มมป.). ฟิสิกส์ เรื่องที่ 17,18 ฟิสิกส์อะตอม,ฟิสิกส์นิวเคลียร์. นนทบุรี:ธรรมบัณฑิต.
ช่วง ทมทิตชงค์ และคณะ. (2537). ฟิสิกส์ 5. กรุงเทพฯ: ไฮเอ็ดพับลิชชิ่ง.
กมลชนก กันทะเดช . (2558). ความน่าจะเป็น. สืบค้นเมื่อ 6 พฤษภาคม 2563, จาก https://tianmime.wordpress.com/ความน่าจะเป็น/
กลับไปที่เนื้อหา
พลังงานยึดเหนี่ยวของนิวเคลียส
เมื่อเราให้พลังงานที่พอเหมาะแก่นิวเคลียส จะสามารถทำให้นิวคลีออนที่ประกอบเป็นนิวเคลียสนั้นแยกตัวออกจากกันเป็นอนุภาคเดี่ยว ๆ เมื่ออนุภาคโปรตอน และนิวตรอน (ซึ่งเป็นนิวคลีออน) เกิดการรวมตัวกันขึ้นเป็นนิวเคลียสของอะตอมก็จะเกิดการคายพลังงานส่วนหนึ่งออกมา พลังงานที่ทำให้นิวเคลียสแยกตัวออกและพลังงานที่คายออกมาเมื่อนิวคลีออนรวมตัวเป็นนิวเคลียสจะมีค่าเท่ากัน ค่าพลังงานนี้เรียกว่า พลังงานยึดเหนี่ยว (Binding energy, BE.)
จะพบว่าจากการที่ได้ศึกษาพลังงานยึดเหนี่ยวจะทำให้เราทราบว่าพลังงานยึดเหนี่ยวเกิดขึ้นได้อย่างไร ก็พบว่าเมื่อเปรียบเทียบมวลของโปรตอนและนิวตรอนที่รวมตัวกันเพื่อเกิดเป็นนิวเคลียส กับมวลของนิวเคลียสที่เกิดจากการรวมตัวนั้น มีค่าไม่เท่ากัน กล่าวคือ มวลของโปรตอนและนิวตรอนที่รวมกันจะมีค่ามากกว่ามวลของนิวเคลียสที่เกิดขึ้นจากการรวมตัวนั้นเสมอ แสดงว่าการรวมกันของนิวคลีออนเพื่อเกิดเป็นนิวเคลียสจะมีมวลส่วนหนึ่งหายไป มวลที่หายไปนี้เรียกว่า มวลพร่อง (mass defect ใช้สัญลักษณ์ย่อเป็น Δm) ซึ่งมวลที่หายไปนี้ไอน์สไตน์อธิบายว่าจะเปลี่ยนไปเป็นพลังงานตามทฤษฎีสัมพัทธภาพของเขาที่ว่า E = mc2 และพลังงานที่ได้นี้ก็คือพลังงานยึดเหนี่ยวของนิวคลีออนที่ประกอบกันเป็นนิวเคลียสนั่นเอง
พิจาณานิวเคลียสธาตุ AZX ที่มีเลขมวล A เลขอะตอม Z นิวเคลียสนี้ประกอบด้วยโปรตอน Z ตัว และนิวตรอนจำนวน (A – Z) ตัว เขียนเป็นปฏิกิริยาการรวมตัวของโปรตอน และนิวนิวตรอนเกิดเป็นนิวเคลียส X คือ
Z(11H) + (A –Z) 10n ---> AZX
ถ้าให้โปรตอนมีมวล mp ให้นิวตรอนมีมวล mn และนิวเคลียสธาตุ X มีมวล mx มวลพร่องหรือมวลที่หายไปในการรวมตัวของโปรตอนกับนิวตรอนเพื่อเป็นนิวเคลียส X จะเท่ากับมวลรวมของโปรตอนกับนิวตรอน ลบด้วยมวลนิวเคลียส เขียนเป็นสมการ คือ
Δm = (Z(mp) + (A – Z) mn) - mx
มวลพร่อง ที่เกิดขึ้นจะกลายเป็นพลังงานที่คายออกมา ซึ่งจะเป็นพลังงานยึดเหนี่ยว (BE.) ของนิวเคลียสตามสมการ
BE. = (Δm)c2 เมื่อ c คือความเร็วแสง = 3 x 108 m/s
หมายเหตุ
จากทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์ มวลและพลังงานสามารถจะเปลี่ยนรูปกันได้ตามความสัมพันธ์
E = mc2 เมื่อ c คือความเร็วแสงในสุญญากาศ
นั่นคือ ถ้ามีมวล m = 1 กิโลกรัม หายไปจะกลายเป็นพลังงานที่มีค่า
E = (1)(3 x 108)2 = 9 x 1016 จูล
ในทำนองกลับกัน พลังงานจำนวน 9 x 1016 จูล ถ้าหายไปก็จะกลายเป็นมวลขนาด 1 กิโลกรัม
แต่ในระดับของอะตอม มวลที่หายไปจะน้อยมากมีหน่วยเป็น u (unified atomic mass unit) จึงอาจคิดค่าพลังงานเทียบกับมวลในหน่วยของ u คือ สำหรับมวล 1 u = 1.6605 x 10-27 กิโลกรัม เมื่อเปลี่ยนกลายเป็นพลังงานจะเทียบเท่ากับพลังงาน
E = (1.6605 x 10-27)(2.9979 x 108)2
= 1.4923 x 10-10 จูล
เมื่อเปลี่ยนเป็นหน่วย eV; E = (1.4923 x 10-10)/(1.6022 x 10-19)
= 931.44 x 106
= 931 MeV
ดังนั้น มวล 1 u จะเทียบเท่ากับพลังงานประมาณ 931 MeV
ดังนั้นถ้ามีมวล (Δm) u หายไปจะกลายเป็นพลังงานตามความสัมพันธ์
BE. = (Δm)(931) MeV
สิ่งที่ควรรู้
ค่ามวลที่นำมาคำนวณค่าพลังงานยึดเหนี่ยวนั้น (Δm)จะต้องเป็นมวลของนิวเคลียสจริง ๆ (คือมวลอะตอมลบด้วยมวลอิเล็กตรอนในอะตอมนั้น) แต่ในทางปฏิบัติเราสามารถใช้มวลอะตอมมาคำนวณได้เลย เพราะในการรวมตัวนั้นทั้งสองข้างสมการจะต้องมีประจุเท่ากันคือมวลอะตอมทั้งสองข้างจะถูกลบด้วยอิเล็กตรอนในจำนวนที่เท่ากัน ทำให้การนำมวลอะตอมมาคำนวณจึงไม่ต่างกับการนำมวลนิวเคลียสมาคำนวณ
จากการคำนวณค่าพลังงานยึดเหนี่ยวของนิวเคลียสธาตุต่าง ๆ พบว่า ค่าพลังงานยึดเหนี่ยวจะแปรผันตรงกับจำนวนนิวคลีออนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งแสดงว่านิวคลีออนที่เพิ่มขึ้นจะไม่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างนิวคลีออนเดิมเปลี่ยนแปลง ทำให้ได้ข้อสรุปว่า แรงนิวเคลียร์ซึ่งเป็นแรงยึดเหนี่ยวระหว่างนิวคลีออนในนิวเคลียสนั้น จะเป็นแรงที่กระทำเฉพาะนิวคลีออนที่ติดกันเท่านั้น (คือเป็นแรงในช่วงสั้น ๆ พ้นจากระยะนี้แล้วอำนาจดึงดูดของแรงจะหมดไป) ดังนั้นการจะพิจารณาว่านิวเคลียสใดมีเสถียรภาพมากกว่ากัน (นิวเคลียสที่มีเสถียรภาพมากคือ นิวคลีออนของนิวเคลียสหลุดออกไปได้ยาก หรือต้องใช้พลังงานสูงในการแยกนิวคลีออน) จึงต้องพิจารณาจากพลังงานยึดเหนี่ยวต่อนิวคลีออนของนิวเคลียสนั้น นิวเคลียสที่มีพลังงานยึดเหนี่ยวต่อนิวคลีออนสูงกว่าก็จะมีเสถียรภาพมากกว่า (แตกตัวได้ยากกว่า)
พลังงานยึดเหนี่ยวต่อนิวคลีออน (BE./nucleon) = (พลังงานยึดเหนี่ยวของนิวเคลียส)/(จำนวนนิวคลีออนในนิวเคลียส)
สรุปพลังงานยึดเหนี่ยว(Binding Energy)
การที่โปรตอนและนิวตรอนสามารถอยู่กันได้ในนิวเคลียส เพราะมีพลังงานยึดเหนี่ยว
-
มวลของนิวเคลียสน้อยกว่า ผลรวมของมวลโปรตอนและนิวตรอน (ในสภาพอิสระ) ที่ประกอบเป็นนิวเคลียสเสมอ
-
มวลส่วนที่หายไป เรียกว่า มวลพร่อง (mass defect)
-
เทียบมวลเป็นพลังงานได้จาก E = mc2
ตัวอย่างที่ 1 ข้อใดถูกต้อง ถ้าพลังงานยึดเหนี่ยวในนิวเคลียสเมื่อเทียบกับ Ionization Energy ของอะตอม
-
น้อยกว่า
-
เท่ากัน
-
มากกว่า
-
อาจจะมากกว่าหรือน้อยกว่าก็ได้
เฉลย คำตอบที่ถูกต้องคือข้อ 3 BE. ในนิวเคลียสมีค่าในหน่วย MeV เพราะประจุอยู่ใกล้กันมาก ต้องใช้พลังงานยึดเหนี่ยวมาก ส่วน Ionization Energy มีค่าในหน่วย eV เท่านั้น
ตัวอย่างที่ 2 จงพิจารณาข้อความต่อไปนี้
-
ค่าพลังงานยึดเหนี่ยวของนิวเคลียสจะเพิ่มขึ้น เมื่อจำนวนนิวคลีออนเพิ่มขึ้น
-
นิวเคลียสที่มีพลังงานยึดเหนี่ยวต่อนิวคลีออนสูงมีเสถียรภาพดีกว่ามีพลังงานยึดเหนี่ยวรวมสูง
-
ข้อ A และ B ถูก และ B เป็นเหตุผลของ A
-
ข้อ A และ B ถูก และ B ไม่เป็นเหตุผลของ A
-
ข้อ A ถูก ข้อ B ผิด
-
ข้อ A ผิด ข้อ B ถูก
เฉลย คำตอบที่ถูกต้องคือข้อ 3 ค่าพลังงานยึดเหนี่ยวของนิวเคลียสจะเพิ่มขึ้น เมื่อจำนวนนิวคลีออนเพิ่มขึ้น
แหล่งที่มา
กฤตนัย (สมชาย) จันทรจตุรงค์. (มมป.). ฟิสิกส์ เรื่องที่ 17,18 ฟิสิกส์อะตอม,ฟิสิกส์นิวเคลียร์. นนทบุรี:ธรรมบัณฑิต.
ช่วง ทมทิตชงค์ และคณะ. (2537). ฟิสิกส์ 5. กรุงเทพฯ: ไฮเอ็ดพับลิชชิ่ง.
กมลชนก กันทะเดช . (2558). ความน่าจะเป็น. สืบค้นเมื่อ 6 พฤษภาคม 2563, จาก https://www.rsu.ac.th/science/physics/pom/physics_2/nuclear/nuclear_3.htm
กลับไปที่เนื้อหา
ปฏิกิริยาฟิชชันและปฏิกิริยาฟิวชัน
ในที่นี้จะขอกล่าวถึงปฏิกิริยาของนิวเคลียส (Nuclear Reaction) ก่อน ซึ่งปฏิกิริยาของนิวเคลียส ส่วนมากเกิดจากการยิงอนุภาคแอลฟา โปรตอนและนิวตรอนเข้าไปชน Nucleus ทำให้ Nucleus แตกออก ปฏิกิริยาของนิวเคลียส มีส่วนสำคัญ คือ
-
ปฏิกิริยานิวเคลียร์เกิดใน Nucleus ต่างจากปฏิกิริยาเคมี ซึ่งเกิดกับ electron ภายในอะตอมเท่านั้น
-
ปฏิกิริยานิวเคลียร์ต้องใช้พลังงานเป็นจำนวนมากเพื่อทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง Nucleus
-
แรงจากปฏิกิริยานิวเคลียร์เป็นแรงแบบใหม่เรียกว่า แรง Nuclear ซึ่งมีอัตรกิริยาสูง และอาณาเขตกระทำสั้นมากและแรงนี้เกิดระหว่างองค์ประกอบของ Nucleus เท่านั้น
-
ในปฏิกิริยานิวเคลียร์เราสามารถนำกฎต่าง ๆ มาใช้ได้เป็นอย่างดี คือ กฎการคงที่ของพลังงาน กฎทรงมวล และการคงที่ของประจุไฟฟ้า
จากการศึกษาเรื่องของพลังงานนิวเคลียร์ของปฏิกิริยานิวเคลียร์ เราสามารถสรุปได้ว่าถ้าผลรวมของพลังงานยึดเหนี่ยวของนิวเคลียสก่อนเกิดปฏิกิริยามีค่าน้อยกว่าผลรวมของพลังงานยึดเหนี่ยวของนิวเคลียส หลังเกิดปฏิกิริยา ปฏิกิริยานิวเคลียร์นั้นจะเป็นปฏิกิริยาที่คายพลังงานให้แก่สิ่งแวดล้อม เมื่อพิจารณาความสัมพันธ์ของพลังงานยึดเหนี่ยวต่อนิวคลีออนกับเลขมวลนิวเคลียสธาตุต่าง ๆ ในธรรมชาติ จะแบ่งกลุ่มออกได้เป็น 3 กลุ่ม คือนิวเคลียสขนาดเล็ก เลขมวล 1 ถึง 50) นิวเคลียสขนาดกลาง(เลขมวล 51 ถึง 150) และ นิวเคลียสขนาดใหญ่ (เลขมวลมากกว่า 150 ขึ้นไป) นิวเคลียสขนาดกลางจะมีพลังงานยึดเหนี่ยวต่อนิวคลีออนมากกว่านิวเคลียสขนาดใหญ่ และนิวเคลียสขนาดเล็ก ดังนั้นธาตุในธรรมชาติจะสามารถนำมาทำให้เกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์แล้วคายพลังงานออกมาให้เราได้ 2 แบบ คือ
-
ทำให้นิวเคลียสขนาดใหญ่ เช่น U – 235 แตกตัวออกเป็นนิวเคลียสขนาดกลาง 2 นิวเคลียส เรียกว่า ปฏิกิริยานิวเคลียร์แบบฟิชชัน (fission)
-
ทำให้นิวเคลียสขนาดเล็ก เช่น ไฮโดรเจน หรือดิวเทอเรียมรวมตัวกันเป็นนิวเคลียสที่ใหญ่ขึ้น เรียกว่า ปฏิกิริยานิวเคลียร์แบบฟิวชัน (fusion)
ซึ่งปฏิกิริยาทั้ง 2 แบบข้างต้นจะเป็นปฏิกิริยาคายพลังงาน เพราะเป็นการเปลี่ยนนิวเคลียสที่มีพลังงานยึดเหนี่ยวน้อยไปเป็นนิวเคลียสที่มีพลังงานยึดเหนี่ยวมาก
หมายเหตุ
การทำให้นิวเคลียสขนาดกลางแตกตัวเป็นนิวเคลียสขนาดเล็กจะไม่เรียกว่าฟิชชัน หรือการทำให้นิวเคลียสขนาดกลางรวมตัวเป็นนิวเคลียสขนาดใหญ่ก็จะไม่เรียกว่า ฟิวชัน เพราะ เป็นปฏิริยาที่ดูดพลังงานจากสิ่งแวดล้อม
ปฏิกิริยาฟิชชัน
ในปี พ.ศ. 2477 เฟอร์มิ นักฟิสิกส์ชาวอิตาลีได้พบว่า เมื่อยิงนิวตรอนไปยังนิวเคลียสของยูเรเนียมจะทำให้ยูเรเนียมแตกตัวออกเป็น 2 นิวเคลียสที่มีเลขมวลใกล้เคียงกัน พร้อมกับปลดปล่อยพลังงานออกมาประมาณ 200 MeV ต่อหนึ่งปฏิกิริยา เราเรียกปฏิกิริยาที่มีนิวตรอนพุ่งชนนิวเคลียสของยูเรเนียม แล้วทำให้นิวเคลียสของยูเรเนียมแตกตัวเป็น 2 นิวเคลียสขนาดกลางนี้ว่า ปฏิกิริยานิวเคลียร์แบบฟิชชัน
สิ่งที่ควรรู้
นิวตรอนที่จะทำให้เกิดปฏิกิริยาฟิชชัน จะต้องมีพลังงานที่เหมาะสม ในกรณีฟิชชันของ U – 235 นี้ นิวตรอนต้องมีพลังงานต่ำประมาณ 1 eV. หรือน้อยกว่า
ภาพการเกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชันบริเวณใจกลางดวงอาทิตย์
ที่มา : http://nso.narit.or.th/index.php/2017-11-25-10-50-19/2017-12-07-06-19-35/nuclear-physics/167-nuclear-fusion
ในการเกิดปฏิกิริยาฟิชชันแต่ละปฏิกิริยาจะได้พลังงานประมาณ 200 MeV. พลังงานนี้แม้จะมีค่ามากสำหรับอะตอมหรืออนุภาคเล็ก ๆ แต่สำหรับในชีวิตประจำวันพลังงานนี้ถือว่าน้อยมาก (200 MeV = 3.2 x 10-11 จูล) การจะใช้พลังงานจากปฏิกิริยาฟิชชันจึงต้องทำให้เกิดฟิชชันเป็นจำนวน มาก ๆ ในเวลาเดียวกัน ซึ่งก็ต้องใช้จำนวนนิวตรอนเป็นจำนวนมากด้วย (การจะทำให้เกิดฟิชชันได้ต้องยิงนิวตรอนไปยังนิวเคลียสเป้าหมาย) และจากฟิชชันของ U – 235 จะสามารถให้นิวตรอนเกิดขึ้นอีก 2-3 ตัว ดังนั้นถ้ายิงนิวตรอนตัวแรกไปยังนิวเคลียสของ U – 235 เมื่อเกิดฟิชชันจะเกิดนิวตรอนขึ้น 2-3 ตัว นิวตรอนเหล่านี้จะถูกทำให้พลังงานลดลงจนเหมาะสม แล้ววิ่งชนนิวเคลียสของ U – 235 ข้างเคียง ทำให้เกิดฟิชชันต่อไป ทำให้เกิดนิวตรอนเพิ่มขึ้นอีก ซึ่งจะวิ่งชนนิวเคียสของ U – 235 ข้างเคียงต่อไป ทำให้เกิดปฏิกิริยาฟิชชันอย่างต่อเนื่อง และมีจำนวนปฏิกิริยาที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เรียกว่า เกิดเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ (chain reaction) ทำให้ได้พลังงานจำนวนมหาศาลในเวลาสั้น ๆ อย่างไรก็ตามในการเกิดปฏิกิริยาฟิชชัน นิวเคลียสขนาดกลางที่ได้ส่วนใหญ่เป็นนิวเคลียสกัมมันตรังสี ซึ่งจะสลายตัวและแผ่รังออกมาก่อให้เกิดอันตรายได้จึงต้องมีการควบคุมและเก็บรักษาไว้อย่างดี
ปฏิกิริยาฟิวชัน
เป็นปฏิกิริยาการรวมตัวของธาตุเบา คือ ไฮโดรเจน ทำให้เกิดเป็นนิวเคลียสที่ใหญ่ขึ้น ปฏิกิริยาการรวมตัวแบบฟิวชันของไฮโดรเจนนี้จะเกิดได้ต้องใช้อุณหภูมิสูงมาก (มากกว่าล้านองศาเซลเซียส) เพราะนิวเคลียสเป็นประจุบวกจะผลักกันไม่สามารถมารวมกันได้ง่าย ๆ การจะให้นิวเคลียสรวมกันได้ต้องทำให้นิวเคลียสมาอยู่ใกล้ ๆ เป็นระยะน้อยกว่า 10-15 เมตร เพื่อให้เกิดแรงนิวเคลียร์ยึดอนุภาคของนิวเคลียสเข้าไว้ด้วยกัน และเชื่อกันว่าดาวฤกษ์และดวงอาทิตย์ผลิตพลังงานจำนวนมหาศาลด้วยวิธีการแบบนี้ และในห้องปฏิบัติการบนโลกมนุษย์ ปฏิกิริยาฟิวชันที่ทำได้คือ การรวมตัวของดิวเทอเรียมไปเป็นฮีเลียม
จากความรู้เกี่ยวกับปฏิกิริยาฟิชชันและปฏิกิริยาฟิวชัน ซึ่งเป็นปฏิกิริยานิวเคลียร์ที่สามารถให้พลังานจำนวนมากเมื่อเทียบกับมวลของเชื้อเพลิง ปัจจุบันมีการใช้พลังงานนิวเคลียร์ใน 2 รูปแบบ คือ ทำเป็นระเบิดนิวเคลียร์ ซึ่งจะมีอำนาจในการทำลายอย่างมหาศาล (สามารถทำได้ทั้งแบบฟิชชันและฟิวชัน) และทำเป็นเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ที่จะควบคุมพลังงานนิวเคลียร์ให้เกิดขึ้นในขนาดที่พอเหมาะอย่างต่อเนื่อง (ปัจจุบันสามารถทำได้เฉพาะแบบฟิชชันเพราะแบบฟิวชันต้องใช้อุณหภูมิสูงมากในการควบคุมซึ่งยังควบคุมไม่ได้) มีการนำไปใช้ในการผลิตพลังงานไฟฟ้า ขับเคลื่อนเรือดำน้ำหรือเรือเดินสมุทรทดแทนการใช้พลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น น้ำมัน ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ
แหล่งที่มา
กฤตนัย (สมชาย) จันทรจตุรงค์. (มมป.). ฟิสิกส์ เรื่องที่ 17,18 ฟิสิกส์อะตอม,ฟิสิกส์นิวเคลียร์. นนทบุรี:ธรรมบัณฑิต.
ช่วง ทมทิตชงค์ และคณะ. (2537). ฟิสิกส์ 5. กรุงเทพฯ: ไฮเอ็ดพับลิชชิ่ง.
National Schools Observatory. (2560). ปฏิกิริยานิวเคลียร์. สืบค้นเมื่อ 6 พฤษภาคม 2563, จาก http://nso.narit.or.th/index.php/2017-11-25-10-50-19/2017-12-07-06-19-35/nuclear-physics/167-nuclear-fusion
กลับไปที่เนื้อหา
-
11695 ฟิสิกส์นิวเคลียร์ /lesson-physics/item/11695-2020-07-10-04-01-03เพิ่มในรายการโปรด