รวมทั้ง NADH และ FADH
2
จำ�นวนหนึ่ง ซึ่งอาจยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของเซลล์
โดยเฉพาะเมื่อมีกิจกรรมต่างๆ ที่ต้องใช้พลังงานเป็นจำ�นวนมาก NADH และ FADH
2
มี
สมบัติการเป็นตัวให้อิเล็กตรอนซึ่งจะส่งผ่านอิเล็กตรอนไปยังตัวรับอิเล็กตรอนชนิดต่าง ๆ
ภายในเซลล์ทำ�ให้เกิดการเปลี่ยนพลังงานจาก NADH และ FADH
2
ไปเป็นพลังงานในรูป
ของ ATP ผ่านกระบวนการถ่ายทอดอิเล็กตรอน
คำ�ตอบที่เกิดจากการอภิปรายของนักเรียนอาจมีหลากหลาย ซึ่งครูสามารถสรุปเพื่อเชื่อมโยง
เข้าสู่การบรรยายในเนื้อหาต่อไปว่า เซลล์ต้องการพลังงานในรูปของ ATP ไปใช้ในกิจกรรมต่างๆ ตลอด
เวลา ดังนั้นเซลล์จึงต้องมีกระบวนการถ่ายทอดอิเล็กตรอน เพื่อเปลี่ยนพลังงานในรูปของสารพลังงาน
สูง ได้แก่ NADH และ FADH
2
ให้ได้พลังงานในรูป ATP
ปฏิกิริยาเคมีที่มีสารหนึ่งให้อิเล็กตรอนแล้วมีเลขออกซิเดชันเพิ่มขึ้นเรียกว่า ปฏิกิริยาออกซิเดชัน
(oxidation reaction) ส่วนปฏิกิริยาที่อีกสารหนึ่งรับอิเล็กตรอนแล้วมีเลขออกซิเดชันลดลงเรียก
ว่า ปฏิกิริยารีดักชัน (reduction reaction) ปฏิกิริยาออกซิเดชันและปฏิกิริยารีดักชันเป็นครึ่ง
ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นพร้อมกัน ซึ่งเมื่อรวมครึ่งปฏิกิริยาทั้งสองเข้าด้วยกันจะได้เป็นปฏิกิริยารีดอกซ์
ตัวอย่างเช่น ปฏิกิริยาที่เปลี่ยนกรดไพรูวิกเป็นแอซิทิลโคเอนไซม์เอ โดยเอ็นไซม์ pyruvate
dehydrogenase
ในปฏิกิริยารีดอกซ์ สารที่เป็นตัวรับอิเล็กตรอนจากสารอื่นเรียกว่า ตัวออกซิไดส์ (oxidizing
agent) ส่วนสารที่เป็นตัวให้อิเล็กตรอนแก่สารอื่นเรียกว่า ตัวรีดิวซ์ (reducing agent)
กรดไพรูวิก
ตัวออกซิไดส์
ตัวรีดิวซ์
แอซิทิลโคเอนไซม์เอ
S
C
CH
3
O
CoA
C
C
CH
3
O
O
OH
+ HS-CoA + NAD
+
+ CO
2
+ NADH
ความรู้เพิ่มเติมสำ�หรับครู
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
บทที่ 3 | เซลล์และการทำ�งานของเซลล์
ชีววิทยา เล่ม 1
212